วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model กับการปรับประยุกต์ใช้ในองค์กร

ทฤษฏีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model
กับการปรับประยุกต์ใช้ในองค์กร
นายสุภาพ ทับทิมไทย


โลกในยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคใหม่ที่มีสังคมและเศรษฐกิจตั้งอยู่บนฐานของความรู้ ในองค์กรที่ประสบความสำเร็จล้วนแต่มีบุคลากรซึ่งจัดว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ ความปัญญา และมีความสามารถ ก้าวทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของโลก ในแวดวงธุรกิจที่ต่างแข่งขันและในเรื่องของการให้บริการ ในหน่วยงานราชการที่นับต่อแต่นี้ความพึงพอใจของประชาชนถือเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพ ความเป็น ผู้รู้งาน รู้คน ของบุคลากรในองค์กรนั้น ๆ มีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตและความอยู่รอด ปัจจุบันการจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถือใช้กลยุทธ์หนึ่งในการพัฒนาความเป็นผู้รู้งาน รู้คน ให้กับบุคลากรโดยตรงและเป็นตัวเสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้กับหน่วยงานโดยอ้อม ซึ่ง วุฒิพล สกลเกียรติ (2546, หน้า 272) ได้กล่าวถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นภาระสำคัญที่นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องรับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ทั้งที่เป็นการศึกษา การฝึกอบรมและการพัฒนา เพื่อให้บุคลากรสามารถนำไปพัฒนาตนเอง สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต และนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ในสังคม และในองค์กรได้ ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogy เป็นทฤษฏีที่ช่วยให้นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เข้าใจถึงความต้องการในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ วุทธิศักดิ์ โภชนุกูล (2550) ได้อ้างถึง ความเชื่อเบื้องต้นของทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogy ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ในการช่วยเหลือให้ผู้ใหญ่เรียนรู้ คือ (1) บุคคลมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง (unique) นั่นคือ บุคคลมีความแตกต่าง (individual differences) (2) คนต้องการพัฒนาไปในทางที่ดีตามศักยภาพ (potential) ของตน (3) การเรียนรู้เป็นกระบวนการภายในของผู้เรียน (internal process) บุคคลภายนอกเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกการเรียนรู้ ตัวผู้เรียนรับผิดชอบกระบวนการเรียนรู้โดยสิ้นเชิง และ (4) บุคคลต้องการชี้นำตนเอง (self-directing)
ความเชื่อเบื้องต้นต่าง ๆ เหล่านี้นำไปสู่สมมติฐานและ ทฤษฏีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model ซึ่งได้แก่ (1) ความต้องการรู้ (need to know) (2) มโนทัศน์ของผู้เรียน (the learner’s self concept) (3) บทบาทของประสบการณ์ของผู้เรียน (the role of the learner’s experience) (4) ความพร้อมที่จะเรียนรู้ (readiness to learn) (5) การนำไปสู่การเรียนรู้ (orientation to learning) และ (6) แรงจูงใจ (motivation) สมมติฐานต่าง ๆ เหล่านี้นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สามารถนำไปใช้เป็นกรอบในการคิดออกแบบ “รูปแบบของประสบการณ์การเรียนรู้” (design of learning experience format) เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่ตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายขององค์กร ให้สอดคล้องกับ บริบทแวดล้อม และคุณสมบัติของผู้เรียนผู้ใหญ่

ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model
ความต้องการรู้ (need to know)

ผู้ใหญ่ต้องการรู้เหตผลในการเรียนรู้ และผู้ใหญ่จะเรียนรู้ต่อเมื่อเขาต้องการจะเรียน เนื่องจากผู้ใหญ่นั้นเข้าใจตนเอง และรู้ว่าตนเองมีความรับผิดชอบต่อผลของการตัดสินใจของตนเองได้ ซึ่งก่อนการเรียนรู้ผู้ใหญ่มักต้องการจะรู้ว่า เพราะเหตุใดหรือทำไมจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้ จะได้รับประโยชน์อะไรจากการเรียนรู้ และจะสูญเสียประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งเหล่านั้น ผู้ใหญ่จึงมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และพึงพอใจ มากกว่าจะให้ผู้อื่นมากำหนดให้ Tough (อ้างถึงใน วุฒิพล สกลเกียรติ, 2546, หน้า 111) พบว่า เมื่อผู้ใหญ่จะเรียนอะไรบางอย่างด้วยตนเอง เขาจะตรวจสอบดูว่าผลประโยชน์ที่จะได้จากการเรียนรู้มีมากน้อยเพียงใด และถ้าไม่ได้เรียนแล้วผลจะเป็นเช่นใด ตามหลักการหนึ่งของการศึกษาผู้ใหญ่ ที่มอบให้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ต่อการเรียนรู้ที่จะต้องช่วยเหลื่อผู้เรียนให้ได้รับรู้ถึง ความต้องการรู้ อย่างน้อยที่สุดผู้อำนวยความสะดวกอาจชี้ให้เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ ที่จะช่วยแก้ไขประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของผู้เรียนหรือคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น สำหรับเครื่องมือที่ช่วยให้เขายกระดับการรับรู้ ความต้องการรู้ นั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติขึ้นก็ได้ และสามารถทำให้ผู้เรียนได้ค้นพบช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่าง ณ จุดที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบันกับ ณ จุดที่เขาต้องการจะเป็นในอนาคต ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ได้แก่ ระบบประเมินบุคลากร (personnel appraisal systems) การหมุนงาน (job rotation) การประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานด้านวิเคราะห์ (diagnostic performance assessments) เป็นต้น
สรุป ความต้องการรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนผู้ใหญ่เล็งเห็นว่า การเรียนรู้นั้นเกิดประโยชน์ต่อชีวิตจริง และตระหนักว่าการเรียนรู้สามารถตอบสนองความต้องการ และความสนใจของตนเองได้

มโนทัศน์ของผู้เรียน (the learner’s self concept)
ในกระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียนผู้ใหญ่ต้องการที่จะชี้นำตนเองมากกว่าที่จะให้ผู้สอนเป็นผู้ชี้นำ เป็นการรับรู้เปลี่ยนแปลงไป (changes in self-concepts) จากการพึ่งพาผู้อื่นไปสู่การชี้นำตนเอง (self-directedness) เพิ่มขึ้น อมรรัตน์ จันทวงศ์ (2549) ได้กล่าวถึง การเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-derected learning) ซึ่งมีแนวคิดพื้นฐานจากทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม (humanism) ซึ่งมีความเชื่อเรื่องความเป็นอิสระ และความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดี สามารถหาทางเลือกของตนเอง มีศักยภาพและพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างไม่มีขีดจำกัด มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นแนวคิดว่า มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ และมีความโน้มเอียงที่จะใส่ใจ ใฝ่รู้ ขวนขวายเรียนรู้ด้วยตนเอง มนุษย์สามารถรับผิดชอบพฤติกรรมของตนเองและถือว่าตนเองเป็นคนที่มีค่า สอดคล้องกับ Knowles (อ้างถึงใน สรรรัชต์ ห่อไพศาล, 2552) ซึ่งได้กล่าวถึงคุณลักษณะของผู้เรียนผู้ใหญ่ที่มีการเรียนรู้แบบชี้นำตนเอง ว่าควรมีลักษณะ 9 ประการ คือ (1) มีความเข้าใจถึงความแตกต่างของบุคคลในด้านความคิด และทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างการเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้ชี้นำ ไม่ขึ้นกับผู้ใด และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมและนำตนเองได้ (2) มีแนวคิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นกับผู้ใด และเป็นผู้ที่สามารถควบคุม และนำตนเองได้ (3) มีความสามารถในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อน เพื่อที่จะให้บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้สะท้อนให้ทราบถึงความต้องการในการเรียนรู้ การวางแผนการเรียนของตนเองรวมทั้งการช่วยเหลือผู้อื่น ตลอดจนการได้รับความช่วยเหลือกลับจากบุคคลเหล่านั้น (4) มีความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยการร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้อง (5) มีความสามารถในการกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้จากความต้องการ ในการเรียนรู้ของตนเองโดยเป็นจุดมุ่งหมายที่สามารถประเมินผลสำเร็จได้ (6) มีความสามารถในการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้สอนเพื่อขอความช่วยเหลือ หรือขอคำปรึกษา (7) มีความสามารถในการแสวงหาบุคคล และแหล่งวิทยาการที่เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (8) มีความสามารถในการเลือกแผนการเรียนที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้ประโยชน์จากแหล่ง วิทยาการต่าง ๆ มีความคิดริเริ่ม และมีทักษะการวางแผนอย่างดี และ (9) มีความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำผลจากข้อมูลที่ค้นพบไปใช้อย่างเหมาะสม
สรุป มโนทัศน์ของผู้เรียนผู้ใหญ่นั้นต้องการที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่า และการเรียนรู้ที่มีลักษณะการแนะแนวมากกว่าการสอน บทบาทของผู้สอนควรจะเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วม อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (facilitator) มากกว่า ควรสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ การยอมรับฟังและยอมรับในการแสดงออก ทัศนคติและความรู้สึกนึกคิด ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ได้

บทบาทของประสบการณ์ของผู้เรียน (the role of the learner’s experience)
ประสบการณ์ชีวิตมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า และผู้ใหญ่สะสมประสบการ์เพิ่มขึ้น เป็นการขยายฐานที่จะเชื่อมโยงถึงประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ โดยมีประสบการณ์เดิมเป็นแนวทางในการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ Sahaunion (2552) ได้อ้างถึง ผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่าเด็กในหลายด้าน ซึ่งสะสมไว้ด้วยวิธีการแตกต่างกันมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งสะสมประสบการณ์มากยิ่งขึ้น นับเป็นแหล่งที่มีคุณค่ามากสำหรับการเรียนรู้เรื่องประสบการณ์นี้มีผลต่อการเรียนรู้ของผู้ใหญ่หลายประการคือ ผู้ใหญ่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์กับผู้อื่นได้ เป็นการขยายโลกทัศน์ของผู้ใหญ่ให้กว้างขวางมากขึ้น ดังนั้นผู้ใหญ่จึงเป็นแหล่งวิทยาการสำคัญในการเรียนรู้, ผู้ใหญ่มีประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน และสามารถนำประสบการณ์เดิมนั้นไปเกี่ยวโยงหรือสัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ จึงทำให้ประสบการณ์ใหม่มีความหมายมากขึ้น และผู้ใหญ่มีลักษณะฝังแน่นกับความเคยชิน หรือประสบการณ์เดิมที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนแปลงอะไรได้ยาก สอดคล้องกับ วุฒิพล สกลเกียรติ (2546, หน้า 113) ได้ชี้แนะว่า วัยของผู้ใหญ่มีช่วงกว้าง ประสบการณ์ที่ได้รับจึงมากมายแตกต่างจากวัยเด็ก นอกจากนั้นผู้ใหญ่ยังมีความหลากหลายมากกว่า เช่น ภูมิหลัง ลักษณะการเรียนรู้ (learning style) แรงจูงใจ ความต้องการ ความสนใจและเป้าหมาย ดังนั้นสิ่งที่ต้องเน้นเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาผู้ใหญ่ก็คือ การตั้งอยู่บนกลยุทธ์ในการเรียนการสอนผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยไปด้วยประสบการณ์อันเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการเรียนรู้ จุดเน้นอีกประการหนึ่งของการศึกษาผู้ใหญ่คือ การใช้เทคนิคประสบการณ์ (experiental technique) คือการใช้เทคนิคที่จะดึงประสบการณ์ของผู้เรียนออกมาให้เกิดประโยชน์ เช่น การอภิปรายกลุ่ม (group discussion) สถานการณ์สมมุติ (simulation experience) กิจกรรมการแก้ปัญหา (problem-solving activities) การใช้กรณีตัวอย่าง (case method) และการทดลอง (laboratory methods)
สรุป บทบาทของประสบการณ์ของผู้เรียนนั้นทำให้ผู้ใหญ่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล ยิ่งอายุมาก ประสบการณ์ก็จะยิ่งแตกต่างมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนผู้ใหญ่ ควรคำนึงถึงทั้งในด้านของความแตกต่างระหว่างบุคคล และข้อดีของการมีประสบการณ์ของผู้เรียนผู้ใหญ่ ซึ่งง่ายต่อการจัดฝึกอบรม

ความพร้อมที่จะเรียนรู้ (readiness to learn)
ผู้ใหญ่พร้อมที่จะเรียนรู้เมื่อเห็นว่าการเรียนรู้มุ่งไปที่ชีวิตประจำวัน (life-centered) หรือเน้นที่งาน การแก้ปัญหา (task-centered) มากกว่า ซึ่งแตกต่างกับเด็กที่มีแนวโน้มในการที่จะเรียนรู้โดยอาศัยเนื้อหาวิชา เรียนตามหลักสูตร ตามข้อบังคับของผู้สอนแต่ผู้เรียนผู้ใหญ่จะยอมรับ และสนใจกิจกรรมการเรียนรู้เมื่อเห็นว่าการเรียนรู้นั้น ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนทำงานได้ดีขึ้น หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ วุทธิศักดิ์ โภชนุกูล (2550) ได้กล่าวถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้จะเป็นผลจากภารกิจพัฒนาการ (developmental tasks) ถ้าสอดคล้องกับความต้องการ ตรงกับปัญหาและสถานการณ์จริงของผู้เรียน ผู้เรียนย่อมมีความพร้อมในการเรียนรู้สูง เกิดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะสอน (teachable moment) ผู้เรียนย่อมเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับ Sahauion (2552) ซึ่งได้อ้างถึงการสอนผู้ใหญ่มีความพร้อมที่จะเรียนรู้และรับสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้าผู้เรียนเกิดความต้องการ ส่วนในการสอนเด็กนั้นมักจะกำหนดว่า เด็กควรจะต้องเรียน (ought to) ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะคิดว่าอาจจะมีประโยชน์กับอนาคตของเด็กต่อไป โดยมิได้คำนึงถึงความต้องการของเด็กในขณะนั้น ซึ่งความพร้อมของผู้ใหญ่อาจสร้างได้โดยมิต้องรอคอยให้พัฒนาขึ้นมาเอง คือ มีวิธีการกระตุ้นในรูปแบบของการกระทำ อาจจะในลักษณะของความมุ่งหวังในระดับสูง และกระบวนการวินิจฉัยตนเองช่วยทำให้ผู้ใหญ่ได้พัฒนาตนเองซึ่งเรียกว่า “แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์” (achievement motives)
สรุป ผู้เรียนผู้ใหญ่จะพร้อมและยอมรับในการเรียนรู้ เมื่อเชื่อว่าการเรียนรู้จะช่วยทำให้ทำงานได้ดีขึ้น หรือช่วยให้พัฒนาตนเองได้มากขึ้น และสามารถนำไปแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ การจัดหลักสูตรเพื่อการเรียนการสอนของผู้เรียนผู้ใหญ่ จึงควรจะอาศัยสถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ซึ่งมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาในชีวิตของผู้เรียนได้

การนำไปสู่การเรียนรู้ (orientation to learning)
การนำไปสู่การเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่นั้น ผู้ใหญ่จะเรียนรู้เพื่อใช้ประโยชน์ได้จริงในทันที ใช้ในชีวิตจริง (problem-centered/life-centered and immediacy of application) วุฒิพล สกลเกียรติ (2546, หน้า 113) ได้อธิบายถึง การนำไปสู่การเรียนรู้ของผู้ใหญ่นั้น การมีจุดเน้นที่ต่างกันในการนำไปสู่การเรียนรู้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ กล่าวคือ เด็กใช้เนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง ผู้ใหญ่ถูกจูงใจให้เข้ามาเรียนเมื่อผู้ใหญ่รับรู้ว่า การเรียนรู้ที่เป็นความรู้ใหม่ ความเข้าใจใหม่ ทักษะ ค่านิยมและทัศนคติ จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพถ้าถูกนำเสนอภายใต้บริบทของการนำไปใช้ได้จริงในชีวิต จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ควรนำการเสริมแรง (reinforcement) มาใช้ ซึ่งสอดคล้องกับ สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ (2552) ได้เสนอแนะแนวทางในการเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่ไว้ดังนี้ (1) ปฐมนิเทศหรือให้การอบรมผู้สอนผู้ใหญ่ สภาพการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ที่แตกต่างจากเด็ก ซึ่งผู้สอนควรได้รับการฝึกอบรม นิเทศให้เข้าใจถึงความแตกต่างรวมทั้งคำนึงถึงผู้เรียนเป็นหลัก และช่วยให้ผู้ใหญ่เรียนมากกว่าการมุ่งสอนเนื้อหาวิชาการ (2) หลักสูตรการเรียนการสอนควรมุ่งเน้นประโยชน์ การนำไปใช้จริง เนื่องจากผู้ใหญ่มีแนวโน้มยึดการแก้ปัญหาเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้มากว่าเนื้อหาวิชาการ และ (3) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหนับผู้ใหญ่ควรยึดปัญหาเป็นหลักและกระบวนการแก้ปัญหาเป็นหลัก นอกจากนี้ผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้ดีกว่าในบรรยากาศที่มีการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งกายภาพ เช่น การจัดแสงสว่าง และอุณหภูมิของห้องให้พอเหมาะ มีการจัดที่นั่งที่เอื้อต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันได้อย่างสะดวก มีบรรยากาศของการยอมรับในความแตกต่างในทางความคิด ประสบการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละคน มีความเคารพซึ่งกันและกัน มีอิสรภาพและการสนับสนุนให้มีการแสดงออกและมีความเป็นกันเอง มากกว่าบังคับด้วยกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ผู้เรียนผู้ใหญ่ก็จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และยอมรับ ปรับตนเองให้เข้ากับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ได้ (Tu.ac.th, 2552)
สรุป การนำไปสู่การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ส่วนมากมีการเรียนรู้โดยอาศัยปัญหาเป็นศูนย์กลาง หรือเพื่อนำความรู้ไปแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ และผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้อย่างดียิ่งในบรรยากาศแวดล้อมที่เป็นกันเอง ไม่มีความรู้สึกถูกบังคับโดยระเบียบกฏเกณฑ์ ซึ่งผู้สอนจำเป็นที่จะเข้าใจในแนวทางการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อที่จะได้หาแนวทางการเรียนรู้ของหลักสูตรที่จะนำมาสอน และสามารถออกแบบการเรียนรู้ให้ตรงกับประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่ได้

แรงจูงใจ (motivation)
การเรียนรู้ของผู้ใหญ่นั้นจะมีความพร้อมที่เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และพึงพอใจ มากกว่าจะให้ผู้อื่นมากำหนดให้ และมักจะมีแรงจูงใจในการเรียนรู้จากภายในตนเองมากกว่าแรงจูงใจภายนอก Tough (อ้างถึงใน สรุเชษฐ เวชชพิทักษ์, 2552) ได้ศึกษาแรงจูงใจในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ โดยวิธีการสัมภาษณ์เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงจูงใจที่ทำให้ผู้ใหญ่เข้าร่วมโครงการศึกษาต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่เกือบทุกคนมิได้เข้าเรียนด้วยเหตุผลจูงใจเพียงอย่างเดียว แต่มีแรงจูงใจหลายอย่างประกอบกัน ผู้เรียนผู้ใหญ่ส่วนมากเข้าเรียนเพราะมีความต้องการที่จะนำความรู้ทักษะไปใช้ ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่บางคนรู้ว่าตนเองจะต้องทำหรือได้รับมอบหมายงานใหม่ที่ต้องใช้ทักษะใหม่ๆ และผู้ใหญ่บางคนเข้าเรียนเพราะต้องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่นั้น Lieb (อ้างถึงใน สุจินดา ม่วงมี, 2548, หน้า 30-31) ได้เสนอแนะข้อแนะนำ 4 ประการ สำหรับผู้สอนผู้เรียนผู้ใหญ่ ในการสนับสนุนผู้เรียนให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น ดังนี้ (1) การสร้างแรงจูงใจ ผู้สอนต้องสร้างความคุ้นเคยกับผู้เรียนและเตรียมผู้เรียนเพื่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการ เช่น กำหนดความรู้สึก และน้ำเสียงที่แสดงออกถึงการยอมรับ และเป็นกันเองต่อผู้เรียน, กำหนดสิ่งที่เกี่ยวข้องในการรับสัมผัสของผู้เรียน ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเนื่องด้วยคนเรา จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดภายใต้ภาวะความเครียด หรือความกดดันที่ระดับต่ำ-ระดับกลาง ถ้าระดับความเครียด หรือความกดดันในการเรียนสูง จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ สื่อวัสดุการเรียนที่ใช้ควรจัดให้ชัด สบายตา มีส่วนช่วยลดภาวะความเครียดหรือความกดดันได้อย่างหนึ่ง การวางแผนให้มีระยะเวลาสำหรับหยุดพักบ่อย ๆ แม้แต่การหยุดพักเหยียดขา แขน ลำตัว สัก 2 นาทีก็สามารถช่วยลดภาวะความเครียด หรือความกดดันเช่นกัน ช่วงการบรรยายควรให้มีการหยุดพักทุก ๆ 45-60 นาที แต่ถ้าสถานการณ์การเรียนการสอน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมาก การหยุดพัก สามารถยืดไปหลังจากการเรียนการสอน 60-90 นาทีแล้ว เป็นต้น และการกำหนดความง่าย ความยากของบทเรียน หรือกิจกรรมการเรียนก่อนล่วงหน้าและวางแผน ช่วงการให้รางวัล หรือแรงเสริมผู้เรียนในการสะสมความสำเร็จ รวมทั้งการให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ที่เป็นการเฉพาะเรื่องไม่ใช่เรื่องทั่ว ๆ ไป (2) การให้แรงเสริม (reinforement) เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากในกระบวนการเรียนการสอน การให้แรงเสริมเป็นตัวกระตุ้นการแสดงออก และมีพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือถูกต้อง แรงเสริมโดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ แรงเสริมทางบวก และแรงเสริมทางลบ กล่าวคือ แรงเสริมทางบวก โดยทั่วไปจะใช้กับทักษะใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มพฤติกรรม ถ้าพฤติกรรมที่ดีก็ให้รางวัลด้วยการชมพูดยกย่องและอื่น ๆ เพื่อเสริมพฤติกรรมนั้นให้มีต่อ ๆ ไป ส่วนแรงเสริมทางลบนั้นโดยทั่วไปแล้วมีการใช้แรงเสริมทางลบในการสอนทักษะใหม่ เพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผลการของการใช้แรงเสริมทางลบ คือ การหดหาย นั่นคือผู้สอนใช้แรงเสริมทางลย จนกระทั่งพฤติกรรมที่ไม่ดีหายไป อย่างไรก็ตามผู้สอนควรพยายามเปลี่ยนพฤติกกรมด้วยการประยุกต์ใช้แรงเสริมทั้งทางบวกและทางลบให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ดี เพื่อช่วยผู้เรียนผู้ใหญ่จำในสิ่งที่ผู้เรียนกำลังเรียน หรือสนใจอยู่
สรุป แรงจูงใจของผู้เรียนผู้ใหญ่ที่ดีนั้นควรสร้างจากแรงผลักดันภายใน เช่น ความต้องการเพิ่มความพึงพอใจในงาน การเข้าใจตนเอง (self-esteem) ฯลฯ จะช่วยทำให้ผู้เรียนผู้ใหญ่มีความสนใจในการเรียนรู้มากยิ่งขี้น แต่แรงจูงใจภายนอก เช่น งานที่ดี การได้รับการสนับสนุน เงินเดือนสูง ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมให้ผู้เรียนผู้ใหญ่มีเป้าหมายในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน
สรุป ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่ Andragogical Model นั้นพอที่จะสรุปได้ดังประเด็นดังต่อไปนี้ คือ (1) ผู้ใหญ่ต้องการรู้ว่าสิ่งที่กำลังเรียนอยู่นั้น เรียนไปทำไม พวกเขาควรได้รับการบอกกล่าวถึง ผลที่มีต่อพวกเขาโดยตรง เช่น การสร้างหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนผู้ใหญ่ต้องการรู้ว่าเรียนไปทำไม ซึ่งตัวบทเรียนนั้นควรเริ่มต้นด้วยการเน้นให้เห็นประโยชน์ในการสร้างทีมงาน ซึ่งผู้ใหญ่รู้และสามารถนำไปใช้ได้โดยตรงในงาน (2) ผู้ใหญ่มีคลังประสบการณ์ที่สะสมมาตลอดชีวิต เปรียบเสมือนขุมทรัพย์เพื่อการเรียนรู้ต่อเนื่อง ผู้เรียนผู้ใหญ่จะดึงเอาประสบการณ์ที่เคยมีมาประกอบการเรียนรู้ในหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งทฤษฏีของ Knowles ทำให้ทราบว่า ผู้ใหญ่เข้ามาเรียนพร้อมประสบการณ์การทำงานที่มีมาก่อน และมีความคาดหวังที่จะใช้ประสบการณ์เหล่านั้นร่วมไปในกระบวนการเรียนรู้ เนื้อหาจึงควรถูกออกแบบไว้ให้ผู้เรียนสามารถเข้าร่วมโดยชวนให้ระลึกถึงวิธีที่ผู้เรียนเคยใช้แก้ปัญหาในอดีต และเสนอแนะวิธีการทำงานเป็นทีมที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคต (3) ผู้ใหญ่เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาแบบลงมือทำจริง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ผู้ใหญ่ไม่ชอบวิธีท่องจำ เช่น การออกแบบเกมแก้ปัญหาด้วยการตัดสินใจเป็นทีม ภายใต้สถานการณ์จำลองที่ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ (4) ผู้ใหญ่ต้องการใช้ความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้มาทันที ความทรงจำจะลดลงถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ได้ใช้ ซึ่งตรงตามหลักทฤษฎีของ Knowles ที่กล่าวว่า ความรู้ที่ได้ควรถูกนำไปใช้ทันทีเพื่อย้ำความทรงจำ (Thaiedreaearch, 2546)

ทฤษฏีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model
กับการปรับประยุกต์ใช้ในองค์กร
การพัฒนาบุคลากรในองค์กรด้วยการจัดการฝึกอบรมนั้น นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการฝึกอบรม หลักการบริหารงานฝึกอบรมและ มีความเข้าใจถึงหลักการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ เพื่อให้สามารถปฏิบัติต่อผู้เข้าฝึกอบรมได้อย่างเหมาะสม ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้ใหญ่ในองค์กรนั้น วุฒิพล สกลเกียรติ (2546, หน้า 332) ได้อ้างถึง Hopkins ซึ่งได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือผู้ใช้แรงงานในองค์กรตามอุดมการณ์ของการศึกษาเพื่อผู้ใช้แรงงานไว้ 5 ประการดังนี้คือ
1. Individual Development เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง ทั้งด้านทักษะ ความรู้ ทัศนคติ และประสบการณ์ ทั้งเปิดโอกาสให้เขาได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงสถานภาพในสังคม เช่น จากการเป็นลูกจ้างสู่การเป็นนายจ้าง
2. Stability and Coherence in Society เพื่อความมั่นคงและการมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในสังคม ซึ่งจะทำให้เขาได้หลุดพ้นจากความโง่เขลา รู้ถึงสิทธิและหน้าที่ในสังคม รู้ข้อบังคับและสามารถทำหน้าที่ของคนอย่างมีประสิทธิผล เพื่อประโยชน์แห่งตนและสังคม
3. Efficient Worker’s Organizations เพื่อให้องค์การของผู้ใช้แรงงานมีประสิทธิภาพโดยเปิดโอกาสให้คนงานได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อผู้อื่นที่ร่วมทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น นายจ้าง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. Improve Socio-Economic Contributions เพื่อสนับสนุนให้แก้ไขสภาพสังคมและเศรษฐกิจการศึกษาเป็นพื้นฐานของการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ จึงใช้การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งคนงานและองค์การ โดยทั้งคนงานและองค์การต้องหันมามีส่วนร่วมกันในการพัฒนาให้คนงานได้รับความพึงพอใจและทำงานเพื่อให้องค์การบรรลุเป้าหมายสูงสุด
5. Change and Transformation in the Society เพื่อการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปในสังคม การศึกษาเพื่อผู้ใช้แรงงานเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยการให้การศึกษาแบบค่อย ๆ ซึมซับในเรื่องความรู้และความต้องการอื่น ๆ เพื่อยกระดับชนชั้นต่ำในสังคมให้มีสถานภาพที่ดีขึ้น พร้อมกับการพัฒนาจริยธรรมและสติปัญญาควบคู่กันไป
แนวคิดและสมมุติฐานต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นแนวทางที่จะเรียนรู้และเข้าใจเพื่อหาแนวทางในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ โดยนำทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model เพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้กับการพัฒนาองค์กรได้ ซึ่ง ชัยฤทธิ์ โพธิสุวรรณ (2544, หน้า 65-68) ได้กล่าวถึง รูปแบบของประสบการณ์การเรียนรู้ (design of learning experience format) สามารถออกแบบให้แตกต่างกันเพื่อตอบสนองความแตกต่างของวัตถุประสงค์ของโครงการการศึกษาผู้ใหญ่ (andragogical approach in adult education program) บริบทแวดล้อม และคุณสมบัติของผู้เรียนผู้ใหญ่ซึ่ง ชัยฤทธิ์ ได้ให้อ้างถึง Model ของประสบการณ์การเรียนรู้ที่ Knowles เสนอให้เป็นแม่แบบของการออกแบบให้รูปอื่น ๆ ที่ Knowles เรียกว่า Organic Model มี 7 ขั้นตอนคือ (1) การสร้างบรรยากาศ (2) จัดโครงสร้างทางกายภาพให้เอื้ออำนวยในการร่วมกันวางแผน (3) ผู้สอนอำนวยความสะดวกหรือช่วยให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง (4) ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ (5) ร่วมกันตัดสินใจเลือกและวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ (6) ดำเนินตามแผน และ (7) ผู้เรียนประเมินความก้าวหน้าของตนเองเป็นระยะ จนกระทั้งเสร็จสิ้นกิจกรรมการเรียนรู้ผู้เรียนประเมินตนเองในขั้นสุดท้าย





แผนภาพที่ 1 กระบวนการของ Organic Model
ที่มา.จาก ชัยฤทธิ์ โพธิสุวรรณ. (2544, หน้า 66). การศึกษาผู้ใหญ่: ปรัชญาตะวันตกและการปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการมีความสำคัญทั้งสิ้น การปฏิบัติต้องสอดคล้องกับความเชื่อเบื้องต้นของ Andragogy ทุกประการดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 สร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง เป็นการแสดงการยอมรับในเอกลักษณ์ (uniqueness) ของผู้เรียนผู้ใหญ่แต่ละบุคคล แสดงความยินดีที่ที่ได้รู้จักและยอมรับในความแตกต่างและความเป็นตนของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล ความรู้สึกนี้จะพัฒนาต่อไปเป็นความรู้สึกเคารพซึ่งกันและกัน (mutual respect) เป็นความรู้สึกไว้วางใจซึ่งกันและกัน (mutual trust) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อไปคือกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ขั้นตอนที่ 2 จัดโครงสร้างทางกายภาพห้องเรียนมีบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ ขนาดของโต๊ะและเก้าอี้เหมาะกับผู้ใหญ่ นั่งสบาย การจัดโต๊ะและเก้าอี้ หลีกเลี่ยงการจัดแบบห้องบรรยาย ต้องจัดให้อยู่ในลักษณะล้อมวงคุยกัน เพื่อเอื้อต่อการสื่อสารแบบสองทางของสมาชิกทุกคน ขณะพูด ทุกคนได้มองเห็นผู้พูด ทั้งนี้เพื่อมุ่งกระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผู้เรียนผู้ใหญ่สะสมติดตัวมา
ขั้นตอนที่ 3 ผู้สอนอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง ตามความเชื่อเบื้องต้นของ Andragogy ที่ผู้ใหญ่มีความต้องการที่จะนำตนเอง นั่นคือผู้เรียนผู้ใหญ่บอกว่าต้องการสิ่งใดได้และถ้าหากติดขัดผู้สอนต้องช่วยแนะนำวิธีการหรือเครื่องมือในการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน การที่ผู้เรียนเป็นผู้ระบุความต้องการของตนเอง มีข้อดีแรกคือ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ ที่ได้ระบุความต้องการของตนเอง ข้อดีต่อมาคือ เกิดความมุ่งมั่นผูกพันต่อเป้าหมายที่ตนเองเป็นผู้กำหนด
ขั้นตอนที่ 4 ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์ที่เป็นจริงได้ (practical objective) ในทางการศึกษา ในการเขียนความต้องการให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์การศึกษาที่เหมาะสม ผู้เรียนผู้ใหญ่บางคนอาจสามารถเขียนได้เอง หากติดขัด ผู้สอนต้องช่วยแนะนำและให้ความสะดวก ข้อดีของการที่ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาของตนเอง ก็เช่นเดียวกันข้อดีของการวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง คือ ภูมิใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง และความผูกพันมุ่งมั่นและการยอมรับในสิ่งที่ตนระบุเอง
ขั้นตอนที่ 5 การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกวิธีการเรียนรู้ เลือกกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนชอบและมั่นใจที่จะกระทำ หากติดขัด ผู้สอนต้องแนะทางเลือก ช่วยบอกข้อดี ข้อจำกัดของแต่ละวิธีการเรียนรู้ มอบการตัดสินใจให้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้เรียน สอดคล้องกับการรับรู้ตนเอง ที่จะชี้นำตนเองของผู้ใหญ่และเปิดโอกาสให้ได้ใช้ประสบการณ์เดิมมาใช้ในการเรียนรู้อย่างเต็มที่
ขั้นตอนที่ 6 ผู้เรียนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีผู้สอนเป็นพี่เลี้ยงเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เมื่อติดขัด หรือต้องการความช่วยเหลือ ผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้สอนมีโอกาสเรียนรู้จากกันและกัน
ขั้นตอนที่ 7 ประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นระยะ เพื่อให้ผู้เรียนตัดสินใจในการกระทำของตนเองตามกิจกรรมการเรียนรู้ได้ ถ้าจำเป็นต้องดัดแปลงหรือยืดหยุ่น สำหรับการประเมินในขั้นสุดท้ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ที่ผู้เรียนจะทราบว่าตนเองถึงจุดหมายที่ตนกำหนดไว้แล้วหรือยัง ยังขาดอีกเท่าไร การประเมินตนเอง (self-assessment หรือ self-evaluation) ขั้นนี้ จะมีข้อดีที่กลายเป็นการวิเคราะห์ความต้องการหรือความขาดของผู้เรียนด้วยตนเองอีกครั้ง ถ้ายังไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ ผู้เรียนทราบว่าขาดอีกเท่าไร ผู้เรียนเป็นผู้ระบุความขาดหรือความต้องการเอง ทำให้เกิด ความต้องการที่จะเรียนรู้ต่อไป ทำให้วงจรของระบบการเรียนรู้จากขั้นตอนที่ 7 ย้อนไปบรรจบเป็นขั้นตอนที่ 3 (re-assessment of learning need) กระบวน การเรียนรู้ของผู้เรียนผู้ใหญ่จึงเกิดอย่างต่อเนื่องด้วยการชี้นำตนเอง สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้ใหญ่สอดคล้องตามแนวทางมนุษยนิยมได้เป็นอย่างดี
สรุป การออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวทาง Andragogy ของ Knowles ตามทฤษฏี Organic Model สามารถตอบสนองความเชื่อเบื้องต้นของ Andragogy และมนุษยนิยมได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นแม่แบบที่จะดัดแปลงที่นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะสามารถเลือกบรรจุเนื้อหา และวิธีการ เทคนิคที่หลากหลายได้ตามความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้น ตามสภาพบริบทแวดล้อมและคุณสมบัติของกลุ่มผู้เรียนผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะสามารถในการจัดการเรียนรู้ และบริหารจัดการความแตกต่าง โดยเฉพาะในเรื่องของความแตกต่างในด้านความรอบรู้ (knowledge) ด้านความเข้าใจ (understanding) ด้านทักษะ (skill) ด้านทัศนคติ (attitude) และด้านคุณค่า (value) หรือเรียกว่า “KUSAVA” ซึ่งองค์กรสามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ในองค์กรให้เกิดการพัฒนาทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตลอดไป



ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
คุณลักษณะเด่นที่เกี่ยวกับการเรียนรู้อย่างหนึ่งของผู้ใหญ่ที่ต่างจากเด็ก ดังที่ได้กล่าวไปตามเชื่อเบื้องต้นของทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogical Model ที่ว่า ผู้ใหญ่มีความต้องการที่จะเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง (self-directed learning) ที่จะช่วยพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของตนเองให้ผู้ใหญ่เกิดการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตได้ (life-long learning) และยังช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนผู้ใหญ่เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในองค์กร เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ (learning society) ได้ สามารถพัฒนาองค์กรทำให้องค์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้โดยมีความรู้เป็นทรัพย์สินทางกลยุทธ์ขององค์กร การประยุกต์ใช้ความรู้ก่อให้เกิดนวัตกรรมซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ซึ่งผู้บริหารระดับสูงจำเป็นต้องให้การสนับสนุนให้ทรัพยากรมนุษย์หรือบุคลกรในองค์กรซึ่งเป็นผู้ใหญ่เกิดการเรียนรู้ ทำให้ผู้ใหญ่กลับมาเป็นผู้เรียนอีกครั้ง นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะต้องดำเนินการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนผู้ใหญ่อย่างเหมาะสม มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มผลผลิต และรวมถึงคุณภาพชีวิตในการปฏิบัติงานในองค์กรด้วย เพื่อให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สร้างทุนมนุษย์ โดยใช้ทฤษฎีการเรียนผู้ใหญ่ Andragogical Model สร้างกระบวนการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กรในลักษณะที่เป็นแบบเรียนรู้ที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างบุคลากรกับบุคลากร บุคลากรกับองค์กร หรือบุคลากรกับภายนอกองค์กร สร้างแรงจูงใจภายในตัวบุคลากรให้เกิดการเรียนรู้โดยให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคมเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การแข่งขันขององค์กร ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า เพื่อตอบสนองต่อกลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กรได้โดยมีกลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างทุนมนุษย์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้วย





บรรณานุกรม

ชัยฤทธิ์ โพธิสุวรรณ. (2544). การศึกษาผู้ใหญ่: ปรัชญญาตะวันตกและการปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วุฒิพล สกลเกียรติ. (2546). การเรียนรู้ผู้ใหญ่และผู้เรียนผู้ใหญ่. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วุทธศักดิ์ โภชนกูล. (2550). การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ Andragogy. ค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2552, จาก http://www.pochanukul.com/?p=39
สรรรัชต์ ห่อไพศาล. (2551). การเรียนรู้แบบนำตนเอง Self-directed Learning. ค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2552, จาก http://elearning.spu.ac.th/content/hum111/main1_files/ body_files/lesson9_files/sunrat.html
สุจินดา ม่วงมี. (2548). ผู้เรียนผู้ใหญ่: วารสารการศึกษาและการพัฒนาสังคม ฉบับที่ 1. กรุงเทพมหานคร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนิด้า
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์. (2552). การจัดการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่. ค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2552, จาก http:// www.hrd.ru.ac.th/substance/html/ER644_6.html
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์. (2552). แรงจูงใจในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่. ค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2552, จาก http:// www.thai.net/edocomtech/adult_Learner.html
อมรรัตน์ จันทวงศ์. (2549). การเรียนรู้ด้วยตนเอง Self-directed Learning. ค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2552, จาก http://gotoknow.org/blog/amornrat/39420
Sahaunion. (2552). พัฒนาการในวัยผู้ใหญ่. ค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2552, จาก http://www. sahaunion.com/hrm5/Webboard/images_upload/20068221739481.doc
Thaiedresearch. (2546). Andragogy ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่. ค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2552, จาก http://www.thaiedresearch.org/thaied_news/index1.php?id=2570
Tu.ac.th. (2552). แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลและการฝึกอบรม. ค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2552, จาก http://www.tu.ac.th/org/ofrector/person/train/handbook/training.html

Training Needs Analysis

Training Needs Analysis
Naukrihub. (2008). Training Needs Analysis. Retrieved October 11, 2008. from http://traininganddevelopment.naukrihub.com/ training-need-analysis.html

Keywords : Training Needs Analysis
สรุปสาระสำคัญ
การวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรม เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ต้องการในการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพ หาว่าอะไรช่องว่างระหว่างความต้องการที่ทำให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ กับ สมรรถภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อตัดสินใจว่าสิ่งไหนจำเป็นหรือไม่ สามารถวางแผนในเรื่องค่าใช้จ่ายภายในองค์กร, ขอบเขตที่ต้องการฝึกอบรม และเน้นไปถึงโอกาสที่การฝึกอบรมที่อาจจะจำเป็นแต่เป็นความจำเป็นที่หลากหลายวิธี
ความจำเป็นในการฝึกอบรมมีด้วยกัน 3 ขั้นตอนด้วยกันคือ 1) ส่วนขององค์กร เน้นในเรื่องการการวางแผนกลยุทธ์ ความจำเป็นของธุรกิจ และเป้าหมาย ซึ่งเริ่มจากการประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร เช่น กระบวนการ โครงสร้าง กฎระเบียบ จุดแข็ง และ จุดอ่อน รวมทั้ง สภาพแวดล้อมภายนอกด้วย เช่น โอกาส และ ภัยคุกคามต่าง ๆ ด้วย 2) ในแต่ละหน่วยงาน เน้นในแต่ละส่วนและ ทุก ๆ ฝ่ายในองค์กร ตรวจสอบว่าพนักงานกำลังดำเนินงานในระดับที่ต้องการ หรือ สมรรถภาพนั้นต่ำกว่าความคาดหวัง ผลที่ออกมาเป็นผลบวก นั้นแสดงว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องฝึกอบรมขึ้น ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมโยงต่อความจำเป็นในแต่ละส่วนได้ อาทิเช่น ทบทวนการประเมินงานและ ผลการดำเนินงาน, สังเกต การประเมินงาน, การประเมินความสามารถ, การประเมินผู้ใต้บังคับบัญชา, ผลย้อนกลับของลูกค้าประจำ และการประเมินผลตนเอง หรือ การตรวจสอบตนเอง 3) ในส่วนการปฏิบัติงาน เน้นไปที่การทำงานที่ได้มอบหมายให้พนักงาน วิเคราะห์งานรวมถึงข้อมูลในงานว่าพนักงานเข้าใจในเนื้องานอย่างละเอียดหรือไม่ วิเคราะห์จากข้อมูลต่าง ๆ เช่น การสัมภาษณ์ในด้านเทคนิค การสังเกต การทดสอบด้านร่างกาย แบบสอบถามที่เป็นคำถามปิดรวมทั้งคำถามแบบเปิดด้วย ฯลฯ

วิเคราะห์วิจารณ์
หลายองค์กรมักจะประสบปัญหาในการจัดฝึกอบรมพนักงาน เนื่องจากในการจัดการฝึกอบรมในทุก ๆ ปีนั้น ไม่ได้ผล เสียเวลาการทำงาน เงินทอง และไม่สามารถแก้ปัญหาขององค์กรได้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์กรยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ผลผลิตตกต่ำ, การละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง, เกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานบ่อย, มีการลากิจ ลาป่วย มาสาย ขาดงานบ่อย, อัตราการร้องทุกข์จากลูกค้า และพนักงานเอง รวมทั้งต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไข จำเป็นที่จะต้องจัดการฝึกอบรมพนักงานในทุกระดับในองค์กรให้ปัญหาต่าง ๆ บรรเทาลง แต่การวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรมนั้น จำเป็นต้องมีกระบวนการ มีแนวทางที่ถูกต้องที่จะช่วยให้การจัดการฝึกอบรมประสบความสำเร็จ (อัญธิกา ปุนริบูรณ์, 2551) กระบวนการในการวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคนิคการรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการที่มีขั้นตอน ซึ่งสิ่งที่จะพบในขั้นตอนหนึ่ง ๆ นั้นก็จะมีผลต่อการกำหนดรูปแบบลำดับขั้นของการอบรมในส่วนต่าง ๆ ถัดไป ซึ่งแต่ละสถานการณ์จะประกอบไปด้วยการสังเกต (observing), การตรวจสอบ (probing), การตรวจตราเบื้อต้น (surveillance), การสำรวจ (investigate), การวิเคราะห์ (analysis), การรายงาน (report), และการสรุป (deducing) ที่ต่าง ๆ กันไปตามสถานการณ์ในองค์กรที่เกิดขึ้น การวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรมนั้นนอกจากมีกระบวนการในการวิเคราะห์แล้ว ต้องทำการพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ขององค์กร จากเป้าหมายขององค์กร (corporate goal) ค่านิยมขององค์กร (core value) ปัญหาที่เกิดขึ้น (problems) ความต้องการของตำแหน่งงาน (job requirement) และข้อกำหนดกฎหมายหรือมาตรฐานสากล (law or international standard) ประกอบในการพิจารณาด้วย ซึ่ง ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2551) ได้ให้แนวทางการดำเนินการวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรมจากแหล่งต่างๆดังต่อไปนี้
แหล่งที่ 1 : กำหนดมาจากข้อกำหนดของตำแหน่งงาน กำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับ job competencies เนื่องจากแต่ละตำแหน่งงานมีหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีการแปลงความรู้ความสามารถประจำตำแหน่งเป็นหลักสูตรการฝึกอบรมก่อน เพื่อบ่งบอกว่าผู้ดำรงตำแหน่งต้องเข้ารับการฝึกอบรมอะไรบ้าง (training road map) ประเมินความสามารถของผู้ดำรงตำแหน่ง(competency assessment) ทำให้รู้ว่าผู้ดำรงตำแหน่งแต่ละคนจำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรอะไรบ้าง บางคนต้องอบรมทุกหลักสูตร บางคนอาจจะเข้าอบรมเพียงบางหลักสูตร ทั้งนี้ นอกจากนี้ยังทราบว่า ความจำเป็นในการฝึกอบรมรายบุคคลที่แท้จริง จัดทำแผนฝึกอบรมส่วนบุคคล (individual development plan) ซึ่งจะบอกว่าหลักสูตรที่ผู้ดำรงตำแหน่งคนนั้นจำเป็นต้องเข้าอบรมนั้น ควรจะอบรมเมื่อไหร่ จะอบรมแบบไหนอย่างไร รวมถึงกำหนดแนวทางการประเมินติดตามผลการฝึกอบรมไว้อย่างชัดเจน
แหล่งที่ 2 : กำหนดมาจากปัญหาในการทำงานในปีที่ผ่านมา 1) ค้นหาปัญหาว่าในรอบปีที่ผ่านมาองค์กรมีปัญหาอะไรบ้าง เช่น ดูจากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรที่อยู่ในรายงานการประชุมคณะต่างๆ ใช้วิธีการสำรวจ ใช้การสอบถามหรือสัมภาษณ์ ฯลฯ โดยการสอบถามว่าปัญหาหน่วยงานของท่านมีปัญหาอะไรบ้าง 2) การจัดกลุ่มปัญหา ดำเนินการรวบรวมปัญหาและแบ่งกลุ่มของปัญหาว่ามีกลุ่มไหนบ้าง เช่น กลุ่มปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ปัญหาที่เกี่ยวกับการสื่อสาร ปัญหาที่เกี่ยวกับแผนงาน ปัญหาที่เกี่ยวกับคน ปัญหาที่เกี่ยวกับเครื่องมืออุปกรณ์ ฯลฯ การจัดกลุ่มจะจัดอย่างไรก็ได้ เพราะวัตถุประสงค์คือต้องการให้เห็นปัญหาในภาพรวมง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะปัญหาบางเรื่องซ้ำกันหรือใกล้เคียงกัน 3) การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาแต่ละเรื่องว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง ปัญหาไหนเกิดขึ้นบ่อยและในปีต่อๆไปก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอีก จำเป็นต้องนำไปพิจารณาในขั้นตอนต่อไป นำเอาผลการวิเคราะห์ส่งไปให้ผู้บริหารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการในด้านต่างๆ เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อวางแผนกลยุทธ์ หน่วยงานที่ดูแลระบบมาตรฐานสากล ฯลฯ 4) ประเมินว่าปัญหานั้นๆสามารถแก้ไขและป้องกันได้ด้วยการฝึกอบรมหรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ตัดประเด็นนั้นทิ้งไปเลย ถ้าตอบว่า ได้ให้นำไปดำเนินการในกระบวนการเพื่อการวางแผนการฝึกอบรมต่อไป แต่ถ้าตอบว่า ไม่แน่ใจ ให้ย้อนกลับไปดูที่การวิเคราะห์หาสาเหตุใหม่หรืออาจจะต้องไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถตอบได้ว่าสาเหตุของปัญหานั้นๆสามารถแก้ได้ด้วยการฝึกอบรมหรือไม่ เพราะถ้ายังตอบได้ไม่ชัดเจน จะทำให้การอบรมไม่ได้ผล
แหล่งที่ 3 : กำหนดจากข้อกำหนดของระบบมาตรฐานสากลหรือกฎหมาย ถือเป็นแหล่งที่มาอีกแหล่งหนึ่งที่จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรม
แหล่งที่ 4 : กำหนดจากคณะทำงานด้านต่างๆภายในองค์กร สำหรับข้อมูลในส่วนนี้ในทางปฏิบัติแล้ว หน่วยงานฝึกอบรมคงไม่ต้องไปวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรมก็ได้ เพราะคณะทำงานมักจะดำเนินการจนออกมาเป็นแผนการฝึกอบรมเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่หน่วยงานฝึกอบรมต้องนำเอาแผนหรือหลักสูตรการฝึกอบรมของคณะทำงานต่างๆมาประกอบกับการจัดทำแผนหลักขององค์กรเท่านั้น
แหล่งที่ 5 : กำหนดมาจากกลยุทธ์ขององค์กร วิเคราะห์หาความจำเป็นจากวิสัยทัศน์ ค่านิยมและกลยุทธ์ขององค์กร โดยการตอบคำถามให้ได้ว่าการที่จะทำให้องค์กรมีค่านิยมตามที่ต้องการ หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของกลยุทธ์นั้น การพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรสามารถเข้าไปสนับสนุนได้อย่างไร ซึ่งการวิเคราะห์อาจจะต้องวิเคราะห์จากกลยุทธ์โดยตรง แต่ในบางเรื่องอาจจะต้องวิเคราะห์ผ่านกลยุทธ์ของหน่วยงานต่างๆที่รองรับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

ข้อเสนอแนะ
การจัดการฝึกอบรมให้ถูกใจและถูกจุด ควรให้ความสำคัญว่า การวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรมมีประสิทธิภาพหรือไม่ สามารถวัดผลได้ชัดเจนหรือไม่ รวมทั้งการจัดการฝึกอบรมนั้นเป็นความจำเป็น หรือ สนองความต้องการมากกว่า การวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรม จำเป็นต้องดำเนินการในทุกด้าน เพื่อให้ครอบครุมปัญหาต่าง ๆ ในองค์กร และสามารถนำมาใช้ในการจัดทำแผนการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว


บรรณานุกรม

อัญธิกา ปุนริบูรณ์. (2551). การวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรม. ค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2551, จาก http://www.hu.ac.th/academic/article/HR/Conucting_a_Need_Analysis % 20.html
ณรงค์วิทย์ แสนทอง. (2551). แนวทางการวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรม. ค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2551, จาก http://www.lukkidthai.com/News/article03.html

Self Development Tips

Self Development Tips
123Oye. (2008). Self Development Tips. Retrieved October 23, 2008. from http://www. 123oye.com/job-articles/self-development-motivation/self-development-tips.html

สรุปสาระสำคัญ
การพัฒนาตนเองนั้นสามารถเกิดขึ้นในตลอดระยะเวลาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นได้ สามารถที่จะทำในทุก ๆ สิ่งที่ ต้องการจะทำและต้องการจะเป็น โดยการสนใจฟังในแนวคิดในด้านบวกที่จะให้เกิดการพัฒนาตัวตัวเอง และ นำมาใช้ในชีวิตได้อย่างไร ซึ่งไม่มีใครสร้างได้นอกจากตัวของเราเอง ในวันนี้ ต้องพยายามค้นหาว่าต้องทำอะไรเพื่อการตัดสินใจในความพร้อมในวันข้างหน้า โลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องเรียนรู้ที่จะจัดการการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้หลีกเลี่ยงโลกที่ล้าสมัย Will Rogers ได้เสนอแนวทางที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาตนเองได้ อาทิเช่น รู้จักควบคุมบังคับตัวเองได้, รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้, เรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลต่าง ๆ, รู้ถึงการอดทน และทำให้ทักษะการจัดการแข็งแกร่งขึ้น, วิเคราะห์ในสิ่งที่ตัดสินใจไม่ได้ สิ่งที่ทำผิดพลาดซึ่งจะช่วยให้หลีกเลี่ยงในการตัดสินใจในครั้งหน้า ให้รางวัลแก่ตัวเองเมื่อสามารถทำให้งานลุล่วงในช่วงเวลาที่สำคัญ ไม่กล่าวคำว่า ไม่สามารถ หรือ ทำไม่ได้ แต่หาแนวทางในการแก้ไข
นอกจากนี้ การจดจำ, สิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน, การปรับตัว และการประยุกต์ใช้ ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยไปยังเป้าหมายให้เกิดการพัฒนาตนเองได้ อาทิ เช่น ขจัดสิ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองเวลาออกจากชีวิต, อ่านหนังสือ หนึ่งบทเป็นอย่างน้อยในแต่ละวัน, อ่านหนังสือหนึ่งเล่มในแต่ละเดือน, รีบเร่งค้นหาว่าอะไรในชีวิตที่ต้องการและไปยังจุดหมายนั้น รวมทั้งตัดสินว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ต้องการจะทำ และจงทำสิ่งนั้นอย่างไม่กลัวความพ่ายแพ้ ซึ่งถ้าเกิดความพ่ายแพ้ก็เรียนรู้ ทำให้เกิดความแข็งแกร่งในภายภาคหน้าได้ วาดภาพความฝันจินตนาการและเป้าหมายที่จะได้เห็นมันบ่อย ๆ ซึ่งจะคอยเตือนและช่วยเหลือให้ดำเนินไปถึงเป้าหมายในการพัฒนาตนเองได้ ค้นหาผู้ให้คำปรึกษาในเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ผู้ซึ่งจะช่วยให้เตรียมพร้อมสำหรับผลย้อนกลับ คำแนะนำ ความท้าทายและ คอยสนับสนุน ระบุถึงต้นแบบและสังเกตในแนวทางและการกระทำของพวกเขาเหล่านั้น แต่ต้องไม่ลอกเลียนแบบ แต่เรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขาแทน เก็บข้อมูลข่าวสารในแต่ละวัน บันทึกในความเข้าใจของคุณเอง แนวคิด ความรู้สึก และ ความก้าวหน้าในการเติบโตของบุคคล ถามคำถาม ฟัง และถามมากยิ่งขึ้น ค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ ในโครงการที่รับผิดชอบอยู่ ดูสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ได้ ท้าทายตัวเองที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในทุก ๆวัน รู้จักยืดหยุ่น และ แน่วแน่ต่อการปรับปรุง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลอื่น และจริงใจที่จะสนใจบุคคลอื่น เก็บข้อมูลว่าสิ่งที่ได้ทำสำเร็จล่วงหน้าในทุก ๆ วัน และสัปดาห์ ถ้าไม่สามารถทำสำเร็จได้ตามที่ต้องการ ต้องให้แรงกระตุ้นเสริมที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไป ดำเนินการให้บรรลุ ไม่สร้างนิสัยที่จะทำให้เกิดผลไม่สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น บริโภคมากเกินไป สูบบุหรี่ พูดคุยไร้สาระ รวมทั้งเก็บข้อมูลในแนวคิดลงในแฟ้ม หรือสมุดบันทึกซึ่งสามารถบันทึกแนวคิดในทุก ๆ เรื่อง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งที่จะให้เวลาในการทบทวนแนวคิดที่จะทำให้เกิดการพัฒนาตนเองได้

วิเคราะห์วิจารณ์
ในสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน มนุษย์พยายามที่จะพัฒนาตนเอง เพื่อให้ตนเองมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น สามารถปรับตัวเองให้ได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในโลกของข่าวสารข้อมูล การศึกษา เทคโนโลยี สังคม เศรษฐกิจ ที่นับว่าจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น (Atom, 2008) ซึ่งในการพัฒนาตนเองการเข้าใจถึงพื้นฐานของมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาตนเองได้มากหรือน้อยในอนาคต มีด้วยกัน 5 ด้าน คือ 1) ด้านจิตใจ 2) ด้านสุขภาพร่างกาย 3) ด้านทัศนคติ 4) ด้านความคิด ความเข้าใจ 5) ด้านการพัฒนา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เกิดการพัฒนาตนเองทั้งภายใน และภายนอก ที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีความสุข โดยอาศัยความเชื่อมั่นให้แก่ตนเอง ค้นหากุญแจแห่งความเชื่อในการที่จะพัฒนาตนเองได้ (Apecibiz, 2008) ซึ่งได้แก่ 1) ยึดมั่นในความคิดของตนเอง รู้จักที่จะสร้างสรรค์ความคิดของตนเอง 2) รู้จักที่จะวางแผนเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ค้นหาประสิทธิภาพในตนเอง ศักยภาพของตนเองว่ามีมากน้อยเพียงไร รวมทั้งโอกาสที่จะก้าวไปในอนาคตด้วย 3) มีความต้องการที่จะพัฒนาความรู้ตนเองให้กว้างไกล รู้จักฝึกฝนตนเองให้มีความชำนาญ ฝึกนิสัยให้มีระเบียบ ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ รวมทั้งการค้นคว้าตำรา หนังสือหาความรู้เพิ่มเติมให้แก่ตนเอง 4) การปฏิบัติที่เชื่อมโยงไปถึงความต้องการ ความจำเป็นและโอกาส, มีความเชื่อมั่นในตนเอง, ตรงต่อเวลา และมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5) ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตนเอง กำหนดขอบเขต หน้าที่ความรับผิดชอบ แก่ตนเอง นอกจากนี้การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมรอบข้าง จากบุคคลอื่น ๆ (ณรงค์วิทย์ แสนทอง. 2551) ยังสามารถพัฒนาองค์ความรู้ให้กับตัวเองได้หลายแนวทาง เช่น
1. การแตกหน่อและต่อยอดความรู้ของคนอื่น ความรู้ที่ได้จากการฟังหรือการอ่านจากผู้อื่น เปรียบเสมือนบันไดที่จะช่วยให้สร้างบันไดขั้นต่อไปได้ง่ายขึ้น เพราะองค์ความรู้ในบางเรื่องได้รับการสั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ไม่สามารถคิดขึ้นมาเองได้ทั้งหมด ความรู้ที่เกิดจากการแตกหน่อและต่อยอดความรู้ของคนอื่นแรก ๆ อาจจะมีความคล้ายและเหมือนต้นตอเดิมบ้าง แต่ถ้าขยันแตกหน่อต่อยอดไปเรื่อยๆ วันหนึ่งองค์ความรู้เหล่านั้นก็อาจจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยก็ได้
2. การผสมผสานองค์ความรู้ของคนอื่น โดยใช้เทคนิคการคิดที่มักจะเรียกกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ เช่น การนำเอาองค์ความรู้เรื่องก๋วยเตี๋ยวมาผสมกับต้มยำน้ำข้น องค์ความรู้ใหม่ที่ได้คือ “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ” หรือองค์ความรู้เรื่องพัดลมผสมกับองค์ความรู้เรื่องการปั่นด้าย ก็กลายเป็นพัดลมปั่นด้าย (ภูมิปัญญาชาวบ้านทางภาคเหนือ) และอีกสารพัดความคิดที่ได้พบเห็นกันในชีวิตประจำวัน ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พัฒนาความรู้ใหม่โดยวิธีการผสมผสานองค์ความรู้นี้ อยู่ที่ 2 ประเด็นหลัก คือ 1) มีองค์ความรู้มากพอและหลากหลายหรือไม่ และ 2) ได้ทดลองฝึกคิดแบบผสมผสานบ่อยหรือไม่
3. เกิดจากการคิดสิ่งใหม่ขึ้นมาเอง มนุษย์สามารถคิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมาเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้ใครเลยก็ได้ เช่น ความรู้ที่เกิดจากจินตนาการหรือความรู้ที่เกิดจากการคิดแก้ไขปัญหาบางสิ่งบางอย่างในชีวิต เห็นได้จากภาพยนตร์, การ์ตูนหรือวิทยาศาสตร์ มักจะเป็นจุดกำเนิดของการศึกษาหาองค์ความรู้ในเวลาต่อมา เพราะจินตนาการของคนเปรียบเสมือนเลเซอร์ที่จะชี้นำทางและช่วยกระตุ้นให้คนพยายามเข้าไปให้ถึงองค์ความรู้นั้นๆได้ดียิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะ
การพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จนั้นควรต้องเริ่มจากการสำรวจตัวเองเสียก่อน ค้นหาจุดอ่อน และจุดแข็งภายในตัวเองให้ได้ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข หรือพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ และสามารถปลูกคุณสมบัติที่ดีงามให้แก่ตนเองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีติดตัวมาแต่กำเนิด รวมทั้งสร้างกำลังใจให้แก่ตนเอง ปลุกใจตนเองให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่ออุปสรรคที่จะขัดขวางหนทางในการพัฒนาตนเอง รู้จักเตรียมจิตใจ และร่างกายให้พร้อมที่จะดำเนินการพัฒนาตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ ท้ายสุดคือ พยายามประเมินผล เพื่อจะได้ติดตามการดำเนินการพัฒนาตนเองตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าได้ผลมากน้อยเพียงไร จึงจำเป็นต้องอาศัยการวัดผล และประเมินผลด้วย

บรรณานุกรม

Atom. (2551). อีก 5 หลักการ ในการพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จ. ค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2551, จาก http://blog.eduzones.com/blog/kmitl/index.php?content_id=2148
Apecibiz. (2008). การพัฒนาตนเอง. ค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2551, จาก http://apecibiz.dip.go.th /resource /11/clientAssess_chap7.pdf
ณรงค์วิทย์ แสนทอง. (2551). เทคนิคการพัฒนาตนเอง. ค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2551, จาก http://www.peoplevalue.co.th/content/view/182/119/

แนวคิดและปรัชญาที่ช่วยในการดำรงอยู่ภายใต้สถานการณ์ของความรู้และภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่

แนวคิดและปรัชญาที่ช่วยในการดำรงอยู่ภายใต้สถานการณ์ของความรู้และภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่
สุภาพ ทับทิมไทย

สังคมในโลกยุคใหม่ (Post-modernization) เป็นสังคมที่มีความก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสารเป็นอย่างมาก สังคมในโลกยุคใหม่มีความแคบลงมีการลื่นไหลระหว่างวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เราต้องมีสติ และใช้ปัญญา ใช้ความคิดในการที่จะรับสิ่งต่าง ๆ ที่ บางสิ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่บางสิ่งก็เป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดผลเสียได้ แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่จะช่วยให้เรา สามารถอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ เพราะ เป็นแนวคิดที่ยึดหลักความสมดุล และพึ่งตนเองได้ มีคุณภาพ สมานฉันท์และเอื้ออาทร รักใคร่ สามัคคี มีความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากนี้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังสร้างสรรค์ความรู้ และใช้ความรู้สร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสังคม เช่น มีการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ ในลักษณะที่สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันได้ เป็นลักษณะเครือข่าย ที่สามารถแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้เราเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม มีความสุขทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีคุณธรรมมีจริยธรรม และมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อี่นได้อย่างมีความสุข ทำให้เราเป็นผู้ที่มองปัญหาได้กว้าง คิดไกล คิดเป็น คิดสร้างสรรค์และรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถสร้างความรู้ใหม่ ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ สามารถเชื่อมโยงความคิดไปสู่ความรู้อื่นช่วยต่อยอดองค์ความรู้เพิ่มยิ่งขึ้น ทำให้เรามีใจรักที่จะทำงาน กระตือรือร้น และมีพลวัตในตนเองสูง เหล่านี้เป็นแนวคิดที่จะทำให้เราดำรงอยู่ภายใต้สถานการณ์ของความรู้ของโลกยุคใหม่ที่มีความแปลกแยกทางสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม โดยที่เราจะมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย สามารถที่จะบูรณาการวิถีชีวิตในสังคมไทยกับสังคมในโลกสากลได้อย่างมีความสุข

การผสมผสานของปรัชญา

การผสมผสานของปรัชญา
สุภาพ ทับทิมไทย

ปรัชญาการศึกษาในปัจจุบันที่ช่วยให้มนุษย์ ได้เชื่อมโยง ความรู้ ความคิดรวบยอด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้โดยองค์รวมนั้น ได้เน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ กระตุ้นให้เกิดความคิด และตระหนักคิด ถึงการเชื่อมโยงความรู้ จัดการความคิด Mind Management มีทัศนะกว้างไกล จากประสบการณ์จริงที่ได้เรียนรู้ โดยผสมผสานความรู้ คุณธรรม ค่านิยม และ พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งการเรียนรู้ทุกสิ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน และได้ผสมผสานระหว่างกันในทุก ๆ มิติ ทำให้มนุษย์มีความลึกซึ้งและเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้ เข้าใจในเจตคติของตนเอง ของสังคมที่ได้อาศัยอยู่ ทำให้รู้จักเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
ในแนวทางของระบบประชาธิปไตย และคำนึงถึงความคิดเห็นและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก เป็นการเพิ่มศักยภาพ และเกิดการพัฒนาตนเองได้ตลอดช่วงชีวิต มนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจแนวคิดในการผสมผสานอย่างลึกซึ้ง เพื่อปรับตัวเองให้ก้าวทันต่อโลกในยุคปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสาร การศึกษา เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการสื่อสารที่สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็วในโลกไร้พรมแดนแห่งนี้
ยกตัวอย่างเช่น การที่มนุษย์นำหลักปรัชญาหลาย ๆ แนวคิดมาผสมผสานในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิภาพ ได้แก่ แนวคิดด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นถึงความเข้าใจในหลักการและแนวทางการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กร เกิดการเรียนรู้ในพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อที่จะปรับตัวเข้าหากันได้ รู้ถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และสิ่งเร้าหรือแรงเสริมใดบ้างที่จะช่วยให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้, แนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์ในด้านทฤษฏีการใช้ทรัพยากรที่จำกัด ใช้ได้อย่างยั่งยืน และมองมนุษย์ให้เป็นทุน (ทุนมนุษย์) ที่จะช่วยให้องค์กรมีผลประกอบการที่ดีขึ้น มีกำไร รายได้ เศรษฐกิจดีขึ้น มีวิธีการจัดการได้อย่างเป็นระบบ วางรากฐานให้แก่สังคม และคนรุ่นหลังอีกด้วย รวมทั้งปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสามารถพัฒนาในตัวของมนุษย์เอง ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนในรู้จักกิน รู้จักใช้ ไม่ฟุ่มเฟือย นั่นคือ การพึ่งพอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่ ซึ่งเป็นหลักปรัชญาที่สามารถเข้ากับโลกปัจจุบันที่นับวันจะทวีความรุนแรงในด้านการแข่งขันซึ่งทำให้สังคมเกิดการเอาเปรียบซึ่งกันและกันได้
การศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์มีความรู้ ความสามารถ ซึ่งแนวคิดในการผสมผสานในการจัดการการเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้มนุษย์เกิดความรู้ และรู้จักที่จะคิดรวบยอด เพื่อเชื่อมโยงกับความรู้อื่น ๆ หรือทักษะเข้านั้นไว้เข้าด้วยกัน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และยังช่วยให้ศัลยกรรมมนุษย์ให้เพียบพร้อมในองค์รวมได้นั่น ต้องอาศัยความตั้งใจจริง ทุ่มเททั้งความรู้และความสามารถ และเวลาอย่างเต็มที่ ได้รับความสนับสนุนจากครูผู้สอนที่จะคอยปรึกษาให้แนวทางให้ผู้เรียน สามารถนำความรู้ที่ได้ศึกษาด้วยตนเอง จากสิ่งแวดล้อม หรือจากการเรียนรู้ร่วมกัน มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดศักยภาพมากยิ่งขึ้น

การพัฒนาตนเอง กับ สิ่งที่ตนเองรัก

การพัฒนาตนเองกับสิ่งที่ตนเองรัก
สุภาพ ทับทิมไทย

ความรู้ที่ผมมีมากที่สุด คือ การตัดต่อเพลง mix เพลง หรือ เปิดเพลงเต้นรำได้ ซึ่งเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของตัวผมเอง ในอดีตผมเคยทำงานด้านเปิดเพลงเต้นรำ เป็นดีเจ ตามคลับ ซึ่งผมสนใจมาก ๆ เป็นพิเศษ สนุกสนาน และหลงใหล ไปกับเสียงเพลงที่ผมได้เปิด แล้วมีลูกค้า เต้นรำอย่างสนุกสนาน ในเสียงเพลงที่ผมเลือกสรร เป็นอย่าดีได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ตอนที่ผมสนใจครั้งแรก เมื่อตอนที่ผมได้ไปเที่ยวสถานบันเทิงหลาย ๆที่ ผมจะชอบมองไปที่บู๊ทดีเจ ดูลีลาดีเจหลาย ๆ คน เปิดเพลง และ จะคิดตามไปว่า ถ้าผมเก่งแบบพวกเขาก็ดีนะ ผมพยายามศึกษาเพลงหลากหลายแนว รู้จักศิลปินต่าง ๆ พยายามศึกษาเครื่องเสียง เครื่องเล่นแผ่น เครื่องมิกซ์เสียงหลาย ๆ ยี่ห้อ และผมก็พยายามที่จะลองเปิดเพลงเองที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นผมลองใช้เทปคลาสเซท ธรรมดา ต่อเพลงกัน ผมลองพยายามอยู่หลายครั้ง แต่การมิกซ์เพลง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะคุณต้องรู้จัก จังหวะ ห้องเพลง beat รู้จักเพลง รู้จักเสียงกลอง กระเดื่อง สะแน รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อการต่อเพลงจะได้เนียน ไม่สะดุด ตอนผมลองครั้งแรก ผมก็จะทำแบบมั่ว ๆ เพราะไม่มีใครสอน ฝึกเปิดเพลงเป็น 2 – 3 ชั่วโมง จนข้างบ้านรำคาญผมมาก ๆ มายืนด่าหน้าบ้านเลยครับ ผมถึงเลิก แต่แค่นั้นไม่หยุดผมได้ง่าย ๆ หรอกครับ ก็คนมันรักไปแล้ว วันหลังผมก็เปิดอีก หลังจากนั้นได้ไม่นาน โอกาสได้เปิดให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งที่ผมรักมาก ๆ มีบริษัทมหาจักร ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเสียงชั้นนำของโลก ได้เปิดโอกาสให้บรรดาคนที่สนใจในการเปิดเพลงดีเจ อบรมวิธีการมิกซ์เพลง เปิดเพลงเต้นรำ ซึ่งได้มีคนไปสมัครกันมากมาย พอผมได้ข่าวผมไปสมัครคนที่หนึ่งเลยครับ เพราะนอกจากได้เรียนรู้วิธีการ ขั้นตอน ในสิ่งที่ผมรักแล้ว ผมยังได้มีโอกาสสัมผัสเครื่องเสียงระบบไฮเทคต่าง ๆ มากมาย ได้มีเพื่อนใหม่ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้หลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ ได้รู้จักดีเจมืออาชีพ ได้เห็นวิธีการทำงานของพวกเขาอย่างใกล้ชิด และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติม คือ วิธีการประกาศไมค์ เพราะ
ดีเจส่วนใหญ่ นอกจากเปิดเพลงแล้ว ยังต้องใช้ลีลาในการพูด ประกาศ เพื่อเพิ่มสีสัน บรรยากาศ ให้ลูกค้าสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย แรก ๆ ผมก็ยังพูดไม่ค่อยเก่งมากเท่าไหร่ แต่ผมก็พยายามไปหาคอร์สฝึกอบรมเพิ่มเติม ในการเป็นผู้ประกาศ นักจัดรายการวิทยุ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ผมตัดสินใจ เข้ามาศึกษาการจัดรายการวิทยุ ในระดับปริญญาตรี ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนจบและได้รับปริญญาตรีตามความตั้งใจ และมุ่งมั่นของผม ความรู้ต่าง ๆ ที่ผมได้รับ ทำให้ผมได้ทำงานที่เกี่ยวกับด้านดนตรี เสียงเพลง ในสถานบันเทิงชั้นนำของประเทศไทย ได้ร่วมงานกับองค์กรใหญ่ ซึ่งผมได้ใช้ทักษะต่าง ๆ ที่มี แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะช่วยองค์กร จัดรายการเสียงตามสายประชาสัมพันธ์ ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ให้บรรดาพนักงานได้รับทราบ ความเคลื่อนไหวภายในองค์กร, เป็นพิธีกร ในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงพนักงานประจำปี งานคริสมาส ปีใหม่ ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันผมได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ อยู่ที่แผนกฝึกอบรม ขององค์กร ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ผมถนัด รู้จักวิธีการพูดต่อที่ชุมชน กล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ กับผู้อื่น ได้รู้จักวิธีการให้บริการแก่ลูกค้า และทำให้ผมเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ และเป็นที่รักต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกันที่มหาวิทยาลัย และท้ายสุด กับครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งของผม

โยคะ กับ การพัฒนาตนเอง

โยคะ กับ การพัฒนาตนเอง
สุภาพ ทับทิมไทย

อโรคา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ หลาย ๆ คนคงต้องการมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ผมมีวิธีการหลายหลายวิธีในการดูแลตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารถูกหลักโภชนาการ, การดูแลสถานที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงานให้สะอาดถูกหลักอนามัย, หมั่นตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นประจำ, ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แลดูสะอาด มีบุคลิกดี และนอกจากนี้การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง จิตใจแจ่มใส ซึ่งมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายให้เราเลือกออกกำลังกายได้ตามที่เราชอบ เช่น การฝึกโยคะ
โยคะเป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า โยค ( yoke ) แปลว่า การรวม ( union ) ซึ่งหมายถึง การรวมร่างกาย จิตใจและวิญญาณเข้าด้วยกัน (อรชร อินทกุล, 2551) ก่อนหน้าที่ผมจะได้มาเล่นโยคะนั้น ได้ออกกำลังกายหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะ เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ เล่นฟิตเนต ฯลฯ แต่การเล่นโยคะได้แตกต่างจากการออกกำลังกายอื่น ๆ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกสบายทั้งตัวและจิตใจ ทำให้หายเหนื่อยจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ทำให้รู้สึกหายปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกผ่อนคลายหลังการฝึก ซึ่งก่อนหน้านั้นผมต้องไปนวดตัวตามร้านนวด สปา อยู่เป็นประจำ เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยไปร้านดังกล่าวเท่าไหร่ เพราะโยคะช่วยในเรื่องของการฝึกเหยียดกล้ามเนื้อด้วยท่าต่าง ๆ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดสามารถไหลเวียนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น นอกจากนี้การเล่นโยคะยังเป็นการฝึกควบคุมการหายใจ ก่อนหน้านั้นผมจะหายใจไม่ค่อยปกติ คือ มีความรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยเต็มปอด เหมือนมันติด ๆ ขัด ๆ ไม่ค่อยโล่งจมูกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมหายใจได้มากขึ้น และ สามารถหายใจเข้า ออก ได้ตลอด เหมือนมีสติอยู่ตลอดเวลา และยังควบคุมการหายใจได้ดียิ่งขึ้น ครูสอนโยคะได้สอนให้รู้จักฝึกจิตให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก สอนให้รู้จักฝึกสมาธิ เพราะการเล่นโยคะ ท่าบางท่าต้องอาศัยสมาธิมาก ๆ ถ้าเราขาดสมาธิก็ไม่สามารถเล่นท่านั้นได้ ทำให้มีสมาธิมากยิ่งขึ้น และผมได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และการทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมีสมาธิ เวลานั่ง ฟัง หรือคิด ก็จะไม่ค่อยตั้งใจ รีบ ๆ ทำเพื่อให้เสร็จเร็ว ๆ โดยปราศจากระบบความคิด ขาดการพิจารณา แต่พอผมได้ฝึกโยคะ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนา ทั้งร่างกาย และจิตใจได้ดีเป็นอย่างมาก เป็นการฝึกอีคิว ช่วยทำให้ใจเย็นลง การหายใจช้า ๆ และลึกในขณะที่เริ่มหงุดหงิด โกรธหรืออารมณ์ขุ่นมัว ช่วยระบายความตึงเครียด ทำให้ผมมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น ใจเย็น รับฟังผู้อื่นมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ลดความวิตกกังวล และการฝึกโยคะยังช่วยให้บุคลิกดียิ่งขึ้น ผิวพรรณดี หน้าตาอ่อนเยาว์ ชะลอความแก่ ช่วยลดน้ำหนักและกระชับกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม กระตุ้นสมองให้มีความจำดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้ยังทำให้ระบบอวัยวะภายในได้รับการนวด ระบบภายในได้รับการบำบัด และช่วยล้างสารพิษที่สะสมในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น หลังการฝึกโยคะ ทำให้ผมนอนหลับสบาย และหลับสนิท พักผ่อนได้เต็มที่ และตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น พร้อมรับวันใหม่ด้วยพลังแห่งความสุข ในสังคมที่มีแต่ความวุ่นวาย ความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่เต็มไปด้วยความแข่งขัน ซึ่งการเล่นโยคะ ก็ถือว่าเป็น วิถีแห่งความสุข ของผม ที่สามารถพัฒนา ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ให้ผมได้อยู่ในความสงบในขณะที่จิตต้องมีสมาธิ พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เป็นสิ่งที่ตอบคำถามในใจที่ผมต้องการถามว่า อะไรคือสิ่งที่ตัวผมต้องการที่สุดในชีวิต สิ่งนั้นก็คือ การมีชีวิตที่มีสุขภาพดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตอยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารักอย่างนานแสนนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินก็ไม่สามารถซื้อหาได้ นอกจากเราต้องดูแลตัวเอง เดินทางสายกลาง ไม่ทำงานหนักจนเกินไป ห่วงที่จะหาเงินมาก ๆ จนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถที่จะพัฒนาตนเองได้ทั้ง ร่างกาย และจิตใจ


บรรณานุกรม

อรชร อินทกุล. (2551). โยคะเพื่อสุขภาพ. ค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2551,
จาก http://www.vk.ac.th /index.php?name=Content&pa=showpage&pid=1

การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์. (2549). การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต. ค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2551, จาก http:// www.e-hrit.com / article_index.asp?id=060020

สรุปสาระสำคัญ
มนุษย์แต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เรียนรู้โดยการเลียนแบบ เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากการคิดแบบต่าง ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นได้เรียนรู้ไว้แล้วจึงไปเรียนรู้ตาม หรือแม้แต่เรียนรู้จากการสังเกต การดู การฟัง การอ่านการเรียนรู้อาจแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีครูสอน มีหลักสูตร มีแนวทาง มีวิธีการกำหนดชัดเจน อีกลักษณะหนึ่ง คือ จัดให้ยืดหยุ่น ปรับกฎเกณฑ์ กติกาให้ลดหย่อนลงตามสภาพของผู้เรียน เราก็เรียกว่าเป็นการเรียนรู้จากการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยซึ่งเป็น กระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ที่มีความหลากหลายมาก ไม่เป็นระบบ เป็นทางการอะไร อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ได้ มีความหมาย มีเหตุผล บอกได้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร เพราะเหตุผลใด และใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้นั้นได้อย่างไร มั่นใจในตนเองว่าสามารถเรียนรู้ได้ มีเป้าหมาย มีวิธีการ มีลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้ มีแรงจูงใจให้เรียนรู้ ไม่ใช่เรียนเพราะถูกบังคับหรือเรียนเพราะมีรางวัลล่อใจ ต้องเป็นตัวของตัวเอง คือ กำหนดได้ว่าตนเองจะทำอะไร เพื่ออะไร มีมาตรฐานระดับใด ประเมินตนเองอยู่เสมอ ๆ ว่าเรียนรู้แล้วก้าวหน้าไปถึงไหนโลก ซึ่งในยุคปัจจุบัน ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ความรู้เกิดขึ้นได้มากมาย การสร้างเสริมความสามารถการเรียนรู้ของบุคคลให้เข้มแข็งขึ้นสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคล และบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระบบ จึงจะเกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต

วิเคราะห์ วิจารณ์
ปัจจุบันนี้ถือได้ว่าเป็นยุคของความไม่แน่นอนอันเกิดผลจากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ทั้งเทคโนโลยี, ระบบการค้าและธุรกิจ, สภาพสังคม และวิกฤตเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ฉะนั้นความรู้จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต, การทำงาน และการอยู่ให้รอดไปสู่ความสำเร็จในโลกของการเปลี่ยนแปลง (อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์, 2549) ความรู้เกิดจากการแสวงหา เป็นพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด ความรู้เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนและเรียนตามทันกันได้ ความรู้ไม่จำกัดอายุและชนชั้น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะขวนขวายหาความรู้ได้ หากสามารถนำความรู้ที่มีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานให้เกิดประโยชน์ได้ การจัดการความรู้จำเป็นต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (continuous learning) อยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นคนที่มีโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รู้ว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไรในช่วงเวลาไหน หลักหรือเทคนิคง่าย ๆ เพื่อการจัดการความรู้ให้เกิดประสิทธิภาพ มีมากมายหลายอย่าง อาทิ เช่น การฟังให้มาก, การถามให้รู้ เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น, การอ่านให้สนุก โดยพยายามจัดสรรเวลาในแต่ละวันเพื่อการอ่าน นอกจากนี้ยังสามารถที่จะมี การประยุกต์ใช้ ความรู้ มีความรู้มากย่อมจะมีข้อมูลเพื่อการวางแผนงาน กำหนดกลยุทธ์ และสามารถตัดสินใจในการเลือกแนวทางเลือกสำหรับการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง พร้อมและกล้าพอที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆมีหลักการหรือเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ในการตอบข้อซักถามหรือประเด็นข้อสงสัยจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือแม้กระทั่งลูกค้าของเราเองได้
(tawanwong, 2551) ซึ่งนอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ทำให้เรามีทางเลือก สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลายแนวทาง ทั้งการศึกษา ในระบบ (เช่นเรียนต่อใน สถาบันการศึกษา) นอกระบบ (เช่นรับการฝึกอบรม ของกรมพัฒนาฝีมือ แรงงาน) และตามอัธยาศัย การเปิดสอน web-based course ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นับว่าเป็นการศึกษา ตามอัธยาศัย ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีงานทำอยู่แล้ว มากที่สุด เพราะผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยไม่มีข้อจำกัดของเวลาและสถานที่ ว่างเมื่อไรเรียนเมื่อนั้น อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ ขอเพียงสามารถ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น ซึ่งในข้อหลังนี้ เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ รุ่นใหม่จะทำให้เราสามารถ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เกือบทุกแห่งในโลกนี้ และในประเทศไทย ของเรา ภายใน 2-3 ปี ข้างหน้า จะมีบริการอินเทอร์เนตสาธารณะ ที่เข้าถึงทุกหมู่บ้าน (เหมือนกับที่มีบริการ โทรศัพท์ สาธารณะในวันนี้) ยิ่งกว่านั้น ระบบการเชื่อมโยงของ world wide web ทำให้ข้อมูลต่างๆ ที่เราต้องการค้นคว้า มาประกอบการเรียนรู้นั้น อยู่ห่างเพียงแค่ปลายนิ้วมือ ที่ใช้คลิกเมาส์เท่านั้น จะเรียกว่า เป็นการย้ายมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยมาวางไว้ บนอุ้งมือเรา ก็คงไม่ผิดความจริงนัก

ข้อเสนอแนะ
การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งที่จะบรรลุผลได้ก็ต้องสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้เวลายาวนาน ในขณะที่แนวคิดนี้ต้องได้รับการสนับสนุนและดำเนินการอย่างจริงจังจากทุกฝ่าย ที่จะต้องบรรจุเป็นนโยบายหลักขององค์กร ซึ่งต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจังในด้านงบประมาณในการจัดกิจกรรม โดยตั้งเป็นกองทุนส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ทุนเบื้องต้นสำหรับแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ใช้จัดกิจกรรม, ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ ได้แก่ การจัดทำแนวทางการดำเนินงานเพื่อชี้แนะให้ผู้รับผิดชอบแหล่งการเรียนรู้นั้นมีแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งอาจรวมไปถึงการร่วมกันพัฒนามาตรฐานคุณภาพการให้บริการด้วย โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน, การสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อร่วมกันสร้างนักการศึกษาตามอัธยาศัยให้กระจายอยู่ในทุกแหล่งการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้บุคคลที่เข้ามาในแหล่งการเรียนรู้ได้เกิดการเรียนรู้ที่สะดวกขึ้น ท้ายที่สุดนี้คือ การสนับสนุนโดยการสร้างเครือข่ายการให้บริการร่วมกัน ระหว่างแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อกระจายการบริหารให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย และเสริมประสิทธิภาพการบริการซึ่งกันและกัน


บรรณานุกรม

อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์. (2549). การจัดการความรู้เพื่อเพิ่มมูลค่า. ค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2551, จากhttp://www.hrcenter.co.th/HRKnowView.asp?id=242
Tawanwong (2551). สื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต. ค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2551, จาก http://thai- muslim-sut.igetweb.com/?mo=3&art=112757

การพัฒนาทีมงานแบบ Walk Rally ได้ผลจริงหรือไม่

การพัฒนาทีมงานแบบ Walk Rally ได้ผลจริงหรือไม่
ณรงค์วิทย์ แสนทอง. (2551). การพัฒนาทีมงานแบบ Walk Rally ได้ผลจริงหรือไม่. ค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2551, จาก http: // www. hrcenter.co.th / HRKnowView . asp?id = 51 & mode = disp

สรุปสาระสำคัญ
การพัฒนาทีมงานแบบ walk rally มีความสำคัญจริง แต่มีหลายองค์กรที่ได้นำกิจกรรมนี้มาใช้ในการพัฒนาทีมงานแบบ "แฟชั่น" คนที่ผ่านกิจกรรม walk rally แล้ว กลับมาทำงานใหม่ ๆ รู้สึกรักกันมาก มีความผูกพันช่วยเหลือกันดี แต่พอกลับไปนาน ๆสิ่งดี ๆ เหล่านั้นค่อย ๆ จางหายไป และหมดไปในที่สุด เป็นอย่างนี้เกือบทุกองค์กร ส่วนสำคัญที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการอบรมหรือสัมมนา แต่ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรได้พัฒนาคนได้ถูกทาง เหมาะสมและต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าการทำกิจกรรม walk rally ในครั้งนั้นขาดการวางแผนแม่บทในการพัฒนาคนขององค์กร หมายถึง ไม่สามารถเชื่อมโยงกิจกรรม walk Rally ไปสู่เป้าหมายพฤติกรรมหลักขององค์กรได้, ขาดการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน, รูปแบบของกิจกรรมไม่สัมพันธ์กับพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นในองค์กร, ขาดการพัฒนาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องในระยะยาว,ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหารระดับสูง หรือ มุ่งเน้นความสนุกสนานและความบันเทิงมากกว่าการพัฒนาความคิดที่แท้จริง ดังนั้นองค์กรควรที่จะมีกระบวนการในการพัฒนาพฤติกรรมคนในองค์กร ซึ่งได้แก่การกำหนดแผนแม่บทด้านพฤติกรรมของคนในองค์กรขึ้นมาก่อน เช่น วัฒนธรรมองค์กร, กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการในแต่ละด้าน เช่น พฤติกรรมการเป็นผู้นำ พฤติกรรมการคิดสร้างสรรค์ พฤติกรรมในการวางแผนงาน พฤติกรรมในการบริการลูกค้า ฯลฯ และกำหนดทางเลือกในการพัฒนาพฤติกรรมที่ต้องการในแต่ละด้านว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง เช่น การส่งไปฝึกอบรมภายนอก การศึกษาต่อ การทำกิจกรรม walk rally การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (workshop) และกำหนดแผนกลยุทธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในการพัฒนาพฤติกรรมคนให้สอดคล้องกับแผนพฤติกรรมแม่บทขององค์กร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยสามารถตอบได้ว่ากิจกรรม walk rally อยู่ตรงไหนของแผนงานนั้น ๆ

วิเคราะห์ วิจารณ์
โลกแห่งการทำงานในปัจจุบัน คงไม่มีใครปฏิเสธการทำงานแบบเป็นทีม เพราะการทำงานแบบนี้ จะนำเอาทักษะการทำงานของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน มาเสริมซึ่งกันและกัน ทีมงาน จึงหมายถึงกลุ่มของผู้ซึ่งทำงานร่วมกันรับผลกระทบของงานที่ทำร่วมกัน มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน และพึ่งพากันในการทำงาน ทีมงานจะประสบความสำเร็จได้ ต้องขึ้นอยู่กับการวางรากฐานในการสร้างทีมขึ้นมา (kunaret, 2549) กระบวนการที่จำเป็นของการทำงานเป็นทีม คือ การเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา มีการสื่อสารที่ชัดเจน เพื่อให้ได้ข้อมูลในการตัดสินใจร่วมกันเป็นผลดีในการสร้างความสามัคคี และการทำงานเป็นกลุ่ม ทีมงานนับว่ามีความสำคัญต่อการทำงานในองศ์การเป็นอย่างมากเรา เพราะงานส่วนใหญ่ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยคนคนเดียว ต้องอาศัยทีมงานเป็นสำคัญ ซึ่งบางครั้งองค์กรมีงานเร่งด่วนที่ต้องการทีมงาน ก็ต้องระดม ทีมงานปฏิบัติเพื่อเสร็จทันเวลา ในทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ร่วมทีมกันทำให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งรอบคอบ สามารถระดมความคิดจากสมาชิกทั้งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความคิดที่จะพัฒนา ปรับปรุงวิธีการทีมงานให้บรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้ที่ดีที่สุดของมนุษย์คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งไม่มีใครสอนสอนประสบการณ์นั้นให้ได้ แต่ประสบการณ์ตรงต้องเกิดจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ทดลอง หรือการลองผิดลองถูก (learning by doing) ผู้ที่เขารับการฝึกอบรมจะได้ลงมือทำกิจกรรมและสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่ปรากฏใน กรณีต่าง ๆ โดยแท้จริงแล้วธรรมชาติของมนุษย์แล้วนั้นจะมีความแตกต่างกันโดยนัยสำคัญ และในบางครั้งความแตกต่างหรือความขัดแย้งก็ย่อมทำให้เกิดอะไรขึ้นใหม่ ๆ เช่นเกิดทฤษฎีใหม่ แนวทางปฏิบัติใหม่ และในทางกลับกันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานเป็นทีมลดลง ล้วนก่อให้เกิดปัญหา เช่น คนในองค์กรขาดความสมัครสมานสามัคคีกัน ขาดการประสานงานที่ดี ขาดประสิทธิภาพของการสื่อสารในองค์กร ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขาดการเป็นผู้นำที่ดีและผู้ตามที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาแล้ว (อำนาจ วัดจินดา, 2551) หากมีการฝึกอบรมในห้องเรียนปกติก็คงไม่ได้ผลเท่าที่ควร เหตุเพราะเขาเหล่านั้นต้องได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดพลังทีมอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนางานและพัฒนาองค์กร จึงทำให้มีการจัดกิจกรรม walk rally กันขึ้น โดยการผ่านกิจกรรมในด่านต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เนื่องมาจากเกมมีการแข่งขัน มีการแพ้ ชนะเกิดขึ้นซึ่งทำให้เกิดความน่าสนใจในการเรียนรู้มากขึ้น โดยการเรียนรู้จากเกมคือการคิดทบทวนว่าเพราะเหตุใดทีมจึงแพ้ และเพราะเหตุใดทีมจึงชนะ ซึ่งจะทำให้มีการเรียนรู้เกิดขึ้น กล่าวคือมีการสำรวจหาข้อพกพร่องของทีมของตนเองและหาวิธีการแก้ไข ส่วนใหญ่การใช้เกมมักใช้ในการเรียนรู้ด้านพฤติกรรม เช่นการปรับทัศนคติ (attitude) ของผู้เรียน

ข้อเสนอแนะ
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพเกิดขึ้นได้จากการรวมตัวกัน เพราะ หากไม่สามารถรวมตัวกันได้ทีมย่อมไม่เกิดการตัดสินใจ และการตัดสินใจของทีมที่ดีที่สุดนั้น ควรเกิดจากการลงมติเป็นความเห็นร่วมกัน ควรหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยวิธีการโหวต ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีใครรู้สึกว่าเป็นฝ่ายแพ้ และจะได้ร่วมกันทำงานเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของทีมต่อไป โดยมีการสื่อความภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ประสานกลุ่มอื่น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของทีมและขององค์กรโดยรวม นอกจากนี้ความไว้ใจ คือ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจภายในทีม และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักไว้ใจคนอื่น และขณะเดียวกันเราก็ต้องทำตัวให้คนอื่นไว้ใจด้วยเช่นกัน ซึ่งเหล่านี้ คือ บทบาทเพื่อการพัฒนาทีมให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ



บรรณานุกรม

kunaret. (2549). การสร้างทีมงาน Team Building. ค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2551, จาก http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=huiraischool&id=1
อำนาจ วัดจินดา. (2551). การเรียนรู้โดยหลักสามัญสำนึก. ค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2551, จาก http://www.hrcenter.co.th/HRKnowView.asp?id=484&mode=disp

Dealing with Anger Management

Dealing with Anger Management
Crizza Reyes.(2008). Dealing with Anger Management. retrieved May 26, 2008, from
http:// www.articlecity.com/ articles/ self _ improvement _and_motivation/ article _ 6159. shtml article _6 376. shtml

สรุปสาระสำคัญ
สักครั้งหนึ่ง หรือ มากกว่านั้น ที่เรามักจะไม่สามารถเอาชนะ หรือ ควบคุม อารมณ์โกรธ ความเคร่งเครียด หรือสถานการณ์แย่ ๆ ได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนคนทั่วไป เราทุกคนต่างก็โกรธเป็นด้วยกัน ทั้งนั้น จะแตกต่างกันอยู่ที่ว่าใครจะระงับความโกรธได้มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง อารมณ์โกรธ ทำให้หัวใจเราเต้นแรง ความดันโลหิตจะสูงขึ้นชีพจรจะเต้นเร็วขึ้นกล้ามเนื้อหดเกร็งตัวอย่างกะทันหัน ซึ่งสังเกตได้ว่ามันเป็นผลลบ ไม่เพียงแค่ตัวเราเท่านั้น ยังส่งผลกระทบไปยังบุคคลอื่นรอบข้างได้ด้วย ซึ่งบรรดานักจิตวิทยาได้จัดให้มีการฝึกอบรมการจัดการอารมณ์ให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หลาย ๆ วิธีได้นำมาสอนเช่น ให้อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถทำให้อารมณ์เสียได้ วิธีผ่อนคลาย ทักษะในการจัดการความตึงเครียด เรียนรู้ถึงความอ่อนโยน สุภาพ และการให้อภัย การเรียนรู้วิธีระงับความโกรธได้นั้นสำคัญมาก ๆ เพราะ ความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ สามารถที่จะทำลายชีวิตผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ แต่ถ้าเราสามารถควบคุมมันได้ เราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความสุข สามารถเข้ากับผู้อื่นได้

วิเคราะห์ วิจารณ์
ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ทำงาน ครอบครัว และกลุ่มเพื่อน ๆ พบว่าคนส่วนใหญ่จะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น บางคนเก็บความไม่พอใจไว้ภายใน ไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น บางคนโกรธ แสดงกิริยาไม่ชอบ ไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด (Shine, 2550) ความขัดแย้ง (conflict) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมาย หรือวิธีการ หรือทั้งสองอย่างแต่เป็นความสัมพันธ์ในทางลบ การที่แต่ละฝ่ายไปด้วยกันไม่ได้ในเรื่องเกี่ยวกับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการจริง หรือศักยภาพที่จะเกิดตามต้องการ มักเกิดจากปัญหาการสื่อสาร โครงสร้างองค์การ หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เกิดจากบทบาท หน้าที่การงาน คุณค่า บุคลิกภาพส่วนตน กฎระเบียบ ทรัพยากร และเป้าหมาย ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่ม ภายในองค์กร และระหว่างองค์กร ผลดีของความขัดแย้งคือ เป็นตัวกระตุ้นให้คนแสวงหาวิธีการต่างๆจะนำผลไปสู่ผลตอบสนองที่ดีขึ้น และปัญหาที่ถูกซ้อนเร้นอยู่ได้ถูกนำมาเปิดเผย เพื่อจะได้สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ และนอกเหนือไปจากสิ่งเหล่านี้คือ กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง จะมีความเข้าใจต่อกันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น หลังจากที่ได้แก้ไขข้อขัดแย้งนั้นให้ลุล่วงไปแล้ว ผลเสียของความขัดแย้ง ทำให้ความร่วมมือและการทำงานร่วมกันเป็นทีมลดลง ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความห่างเหินก็เพิ่มมากขึ้นทั้งในระหว่างบุคคลและในระหว่างกลุ่มที่ควรจะร่วมมือกัน บุคคลที่รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในความขัดแย้งนั้นจะรู้สึกว่าตนเองไร้ความหมาย ไร้ค่า ภาพพจน์ที่มีต่อตนเองจะตกต่ำลง และสูญเสียแรงจูงใจในตนเอง และแม้ว่าจะไม่เกิดความพ่ายแพ้เลยก็ตาม ความขัดแย้งก็ยังเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ได้อย่างมาก วิธีจัดการกับความขัดแย้งสามารถทำได้หลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และประสบการณ์ของแต่ละคน (Mastery Organization Development Institute, 2550) การหลบหลีกความขัดแย้ง (avoiding style) ผู้ที่เกี่ยวข้องจะใช้ความเพิกเฉยในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยจะไม่มีการให้ความสนใจทั้งประโยชน์ของตนเองและประโยชน์ของผู้อื่น หรือไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายตรงข้าม และพยามหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ซึ่งแม้วิธีการนี้จะเป็นการลดภาวะตรึงเครียดได้ระยะหนึ่ง แต่จะไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง แต่หากความขัดแย้งเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงและไม่มีความชัดเจน การบริหารความขัดแย้งโดยการวางเฉยจะมีความเหมาะสมอย่างมาก หรือในกรณีที่สถานการณ์ที่รุนแรงและเป็นอันตรายหากเข้าไปเกี่ยวข้องการหลีกเลี่ยงก็เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ การให้ความช่วยเหลือ (accommodating style) การจัดการความขัดแย้งวิธีนี้คือการให้ความช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม หรือการให้ความร่วมมือ โดยไม่สนใจว่าฝ่ายของตนเองจะได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง การใช้กลยุทธ์การให้ความช่วยเหลือจะเหมาะกับสถานการณ์ที่ความขัดแย้งค่อนข้างรุนแรงหรือวิกฤติ การแข่งขัน (competing style) การใช้กลยุทธ์การแข่งขันเป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายที่ใช้กลยุทธ์จะแสวงหาช่องทางที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด หรือแสวงหาความได้เปรียบ นอกจากนี้ยังมีการให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาน้อยมาก เนื่องจากฝ่ายที่ใช้กลยุทธ์นี้จะยึดเป้าหมาย และวิธีการของตนเองเป็นหลัก และการแข่งขันจะมานำไปสู่การแพ้ ชนะ การให้ความร่วมมือ (collaborating style) สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถกำจัดข้อขัดแย้งต่าง ๆ ลงไปได้

ข้อเสนอแนะ
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ ทุกคนมีโอกาสที่จะเผชิญกับความขัดแย้ง ต่างกันตรงที่ขอบเขตหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน และเมื่อเราเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต้องไม่วิตกกังวล รนราน ทำอะไรไม่ถูก เพียงแต่เราต้องตั้งสติและพยายามวิเคราะห์ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พยายามสำรวจข้อมูลต่าง ๆ ของปัญหา หาแนวทางเลือกที่จะยุติหรือลดความขัดแย้ง โดยการพิจารณาเลือกแนวทางเลือกที่ดี ถูกต้อง และเหมาะสมที่สุดที่เราคิดว่าจะเป็นหนทางนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง


บรรณานุกรม

Shine (2550). การบริหารความขัดแย้ง. ค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2551, จาก
http:// shine-management-tips.blogspot.com/ 2007/ 09 / blog-post_9980.html
Mastery Organization Development Institute (2550). การบริหารความขัดแย้ง. ค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2551, จาก http://masterly.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73094

How to Make Many Friends Easily

How to Make Many Friends Easily
Ivan Campuzano.(2008). How to Make Many Friends Easily. retrieved May 17, 2008, from http:// www.articlecity.com/ articles/ self_improvement_and_motivation/ article_6376. shtml

สรุปสาระสำคัญ
วิธีง่าย ๆ ที่จะสร้างมิตรภาพ ซึ่งจะทำให้เราได้เพื่อนใหม่ ๆ มากมายอยู่เสมอมีด้วยกันหลากหลายวิธี ไม่ว่าเราจะให้ความสนใจผู้อื่น คือบุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นสนใจ เราจึงควรให้ความสนใจเพื่อนโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดี ๆ ของเพื่อนเช่น วิธีการแสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ จำเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ดี ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกัน จำความสำเร็จที่เพื่อนได้รับ จำวันเกิด ของเพื่อนได้ ฯลฯ ซึ่งเมื่อมีโอกาสก็ทักทาย หรือคุยเรื่องเก่าที่เก็บไว้ในความทรงจำ หรืออวยพรในโอกาสวันสำคัญ ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันได้มากขึ้น ภาษากาย เช่น การยิ้มของบุคคลที่ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง มักแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ โดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่าย ได้พูดคุยตาม ความต้องการของเขา ทั้งนี้โดยต้อง ฟังอย่างตั้งใจฟัง เพื่อให้จับใจความได้ และตอบสนองตอบคำพูดของคู่สนทนา ไม่ขัดจังหวะ ไม่ขัดคอ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จากที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี สิ่งเหล่านี้จัดเป็น การสร้างสิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศทางจิตวิทยาที่ดี ซึ่งจะเป็น แรงกระตุ้นการสนองตอบที่ดี จากอีกฝ่ายหนึ่ง ช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมากขึ้น

วิเคราะห์ วิจารณ์
มนุษยสัมพันธ์ (human relationships) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ( 2538, หน้าที่628 ) ได้ให้ความหมายว่า เป็นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นหมู่เป็นคณะหรือกลุ่มโดยมีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลระหว่างกลุ่มเพื่อให้ทราบความต้องการของแต่ละบุคคลหรือกลุ่มรวมไปถึงวิธีการจูงใจและประสานความต้องการของบุคคลและกลุ่มให้ผสมผสานกลมกลืนกันตามระบบที่สังคมต้องการ การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของเราในปัจจุบัน เราไม่สามารถอยู่ได้ตามลำพัง จำเป็นที่จะต้องอาศัยพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ ต้องการพวกพ้อง และต้องการแลกเปลี่ยนทัศนะคติ ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งประณม ถาวรเวชการ (2551)ได้กล่าวว่าการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ก็หมายถึง การมีบุคลิกภาพภายในจิตใจที่ดี แล้วเมื่อใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คนผู้นั้นย่อมเป็นที่รักใคร่ และอยากจะคบหาของคนมากมาย ขอบเขตที่เล็กที่สุดของความสัมพันธ์คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล อาจกับคนในครอบครัว กับเพื่อนร่วมเรียน หรือกับเพื่อนร่วมงาน โดยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีจุดหมายอยู่ที่การเป็นที่รักใคร่ของบุคคลที่เราต้องการติดต่อสื่อสาร ขอบเขตที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับกลุ่ม ซึ่งสำหรับกลุ่มนั้นเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งความคิด อายุ เพศ วัย ฯลฯ ย่อมทำให้ยากต่อการสร้างความสัมพันธ์เป็นอย่างมาก

ข้อเสนอแนะ
สาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับคนทุกคนก็คือ อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง คือเราไม่ชอบเปลี่ยนแปลงที่จะทำความดีต่อผู้อื่น ชอบกระทำการใดๆ ที่ตัวเองต้องได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด จนทำให้ติดเป็นนิสัย จึงทำให้ไม่ชอบที่จะทำดี หรือมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้อื่นแล้ว ซึ่งเราสามารถที่จะแก้ไขพฤติกรรมอันนี้ได้ไม่ยาก ก่อนอื่นเราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองให้ทำดี หรือหมั่นทำดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ความสัมพันธ์อันดี และความร่วมมือร่วมใจก็ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้อาจจะช้าหรือเร็วก็ได้ ถ้าคนเราสามารถทำได้ตามข้างต้นปัญหาต่างๆ อันมากมายก็ไม่เกิดขึ้น เพราะคนเรามี "มนุษยสัมพันธ์" ที่อันดีต่อกันปัญหาต่าง ๆ ก็จะสามารถแก้ได้โดยไม่อยากเลย

บรรณานุกรม

ประณม ถาวรเวชการ. (2551). ดูดีเพราะมีมนุษยสัมพันธ์. ค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2551, จาก
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_03963.php
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (2538), กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์

นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับความฉลาดทางอารมณ์

นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับความฉลาดทางอารมณ์

ณรัฐ วัฒนพานิช. (2549). นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับความฉลาดทางอารมณ์. ค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2551, จาก วารสารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปีที่ 2 (2) (เม.ย. – มิ.ย.) 2549, หน้า 57 - 63


สรุปสาระสำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพ คือบุคลากรในองค์กรที่มี “ความฉลาดทางอารมณ์” ที่จะสามารถในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยใช้ ความเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตนเอง การรู้ความเป็นไปได้ของตน รู้เท่าทันอารมณ์ สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ รู้จักสร้างกำลังใจให้ตนเอง มองโลกในแง่ดี เพื่อหาความเหมาะสมในการนำไปสู่การเข้าใจผู้อื่น มีความเข้าใจและยอมรับธรรมชาติของอารมณ์ว่าบุคคลแต่ละคนมีความรู้สึกและอารมณ์พื้นฐานแตกต่างกันไป รับฟัง เข้าใจ ให้เกียรติผู้อื่น เพื่อแสดงออกมาได้อย่างเหมาะสม เพื่อหาทางออกในการแก้ไขจัดการงานหรือปัญหาต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างเหมาะสม เพราะในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย องค์กรต้องปรับเปลี่ยนเพื่อสามารถแข่งขัน มีความพร้อม ที่จะรับมือกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งนำไปสู่ความสำเร็จ แก้ไขปัญหาการขัดแย้ง ก่อให้เกิดการเข้าใจ และการไว้วางใจต่อกัน

วิเคราะห์ วิจารณ์
บุคลากรที่มีการจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดี มีสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีชีวิตที่มีความสุข ดั่งภาษิตจีนโบราณบอกว่า "นกไร้ขน คนไร้เพื่อน ยากจะขึ้นสู่ที่สูงได้" (ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล, 2548) คนเราถ้าจะเก่งเพียงคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีหัวหน้าคอยสนับสนุนย่อมยากที่จะเจริญก้าว หน้าในการงานได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้คนเก่งต้องเก่งทั้งในการบริหารจัดการตนเอง และการบริหารจัดการผู้อื่นให้สามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด (กรมสุขภาพจิต, 2550) ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง บอกกับตัวเองได้ว่าขณะนี้กำลังรู้สึกอย่างไร และรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองได้ แม้เมื่อผู้อื่นพูดถึง ก็สามารถเปิดใจรับมาพิจารณา เพื่อที่จะหาโอกาสปรับปรุงหรือใช้เป็นข้อเตือนใจที่จะระมัดระวังการแสดงอารมณ์มากขึ้น

ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากอีคิวมีความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน จึงทำให้ต้องมีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอีคิว แต่ความจริงแล้วการพัฒนาอีคิว จะต้องเริ่มมาตั้งแต่วัยเด็กจะได้ผลมากกว่าในวัยอื่น ๆ การพัฒนาอีคิวที่สำคัญก็คือพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดลูกมากที่สุดจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ทั้งในด้านการแสดงออกในเรื่องความเอื้ออารีหรือเอื้ออาทรต่อบุคคลอื่น ๆการมองโลกในแง่ดี การไม่ทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกัน เพื่อให้ลูกจดจำเป็นแบบอย่าง นอกจากนี้จะต้องพยายามให้ลูกได้คบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ เพื่อจะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความมีน้ำใจนักกีฬารู้แพ้รู้ชนะหรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อความสำเร็จของหมู่คณะ ถ้าหากพ่อแม่ได้มีส่วนในการพัฒนาอีคิวของลูกดังกล่าวนี้แล้ว เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้ลูกมีความสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน รวมทั้งเป็นการช่วยสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ดีให้กับสังคมและประเทศชาติ


บรรณานุกรม

ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล. (2548). ความฉลาดทางอารมณ์ กับการบริหารจัดการงานบุคคล.
ค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2551, จากhttp://www.nidambe 11.net/ekonomiz/ 2005q2 /article2005may09p5.htm
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2007). คู่มือความฉลาดทางอารมณ์ ฉบับปรับปรุง
ค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2551, จาก http://61.19.124.3/ web2007 / article/ catalog. php?idp=51

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

What is a Paradigm Shift?

What is a Paradigm Shift?
C. Bailey-Lloyd & Lady Camelot. (2005). What is a Paradigm Shift?
Retrieved September 7, 2008, from http://www.besttoread.com/articl e.detail.php/354/51/Psychology/Education_and_Reference/6


สรุปสาระสำคัญ
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ คือ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่ได้เกิดขึ้นในสังคมจากมุมมองในพื้นฐานหนึ่งไปสู่อีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงที่คนในสังคมได้รับ จากเหตุการณ์ของตัวบุคคลเอง สิ่งแวดล้อม และการดำเนินชีวิตร่วมกัน สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในระดับชาติ หรือระดับสากลได้ สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกในพฤติกรรมได้ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือในแง่ลบ ในวิถีทางที่ได้ดำรงอาศัยอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคต ซึ่งบางครั้งการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์อาจได้รับความนิยม หรือ ไม่ได้รับความนิยมก็ได้ แต่ในปัจจุบันสังคมทุกวันนี้ได้ยอมรับในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์แล้ว จากอดีตในยุคของวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง ยุค ค.ศ.1960 ถึง ค.ศ.1970 ซึ่งอยู่ในยุคที่ได้เกิดสงครามเวียตนาม ได้มีการคัดค้านในอำนาจระบบสังคมแบบเก่า ที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มสังคมที่ได้รับความเก็บกด และเริ่มที่จะมีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในด้านศาสนา สังคม และในด้านที่เกี่ยวกับทางไสยศาสตร์ เป็นการปรับเปลี่ยนในพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ซึ่งในระยะแรกจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับและถูกต่อต้านเป็นอย่างมากในสังคมยุคนั้น แต่ในระยะหลังได้มีการวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงในด้านความแตกต่างทางเชื้อชาติ และความสัมพันธ์ภาพ มีการเปิดเส้นทางการสื่อสารไปยังเชื้อชาติอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นและนำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามเวียตนาม ผลลัพธ์ที่ได้ในด้านบวกเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้มนุษย์ได้เปิดหัวใจและความคิดกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และให้ความส่งเสริมด้านสิทธิ และเสรีภาพ แต่ในด้านกลับกันใน ได้เกิดอัตราที่เพิ่มขึ้นในเรื่องการสำส่อนทางเพศ อัตราในการหย่าร้างสูงขึ้น และมีการใช้ยาเสพติดที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งในมุมมองทางด้านสังคมมีการหลอกลวงและมีความเกี่ยวข้องทางด้านระบบสวัสดิการ
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในปัจจุบันได้รับการวิวัฒนาการเป็นอย่างมาก ซึ่งเกิดจากพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ที่ได้รับผลกระทบจาก ข่าวสารที่ได้นำเสนอ ซึ่งอาจจะนำเสนอความเป็นจริงหรือไม่ ทั้งในระดับชาติ และในระดับสากล รวมทั้ง สิ่งแวดล้อม โลก การเมือง ความเชื่อและทัศนคติ สาระสำคัญอยู่ที่ว่า การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ได้ทำความเข้าใจและสนใจอะไรต่อ ชีวิตของมนุษย์กับความเคยชินในสิ่งแวดล้อม อะไรสามารถเป็นพลังที่ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาสามารถเป็นไปได้ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์

วิเคราะห์ วิจารณ์
กระบวนทัศน์ คือ กระบวนคิดวิเคราะห์ วิธีคิด วิธีปฏิบัติ แนวการดำเนินชีวิต มาทบทวนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับยุค และสถานการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความเชื่อพื้นฐานที่มีในจิตใจของมนุษย์ทุกคน แตกต่างกันตามเพศ ตามวัย ตามสิ่งแวดล้อม ตามการศึกษาอบรม และตามการตัดสินใจเลือกของแต่ละบุคคล สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นตัวกำหนดความชอบ และความพึงพอใจ ที่จะช่วยตัดสินใจ ให้ความเข้าใจในเหตุผล สามารถเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งต้องมีพื้นฐานจากกระบวนทัศน์เก่าที่มีอยู่แล้วมารวมกับกระบวนทัศน์ใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ มีการตัดสินใจและชั่งใจดีพอจนพร้อมที่จะยอมเปลี่ยนแปลงหรือปฏิเสธ ซึ่ง จินตนาเกิน (2008) ได้กล่าวไว้ว่า Paradigm shift คือ กระบวนทัศน์ ความรู้ ภูมิประสบการณ์ ที่สมองได้จดจำและถ่ายถอดออกมาเป็น นิสัย พฤติกรรม คำพูด อารมณ์ ที่มีผลต่อตนเอง ผู้อื่น สังคมวิถีทางการดำเนินชีวิต ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ส่วนคำว่า shift หมายถึงการเคลื่อนที่เคลื่อนย้าย เมื่อนำคำว่า paradigm กับ shift มารวมกันความหมายก็คือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์เพื่อเคลื่อนไปสู่อีกกระบวนทัศน์หนึ่ง และคำว่า กระบวนทัศน์ (paradigm) มาจากภาษากรีก (nova ace, 2008) para แปลว่า beside ส่วน digm แปลว่า ทฤษฎี คือ ชุดแนวความคิด หรือ มโนทัศน์ (concepts) ค่านิยม (values) ความเข้าใจรับรู้ (perceptions) และการปฏิบัติ (practice) ที่มีร่วมกันของคนกลุ่มหนึ่ง ชุมชนหนึ่งและได้ก่อตัวเป็นแบบแผนของทัศนะอย่างเฉพาะแบบหนึ่งเกี่ยวกับความจริง (reality) ซึ่งเป็นฐานของวิถี เพื่อการจัดการตนเองของชุมชนนั้น ที่ทำหน้าที่สองประการ ประการแรกทำหน้าที่ วางหรือกำหนดกรอบ ประการที่สอง ทำหน้าที่บอกว่าควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ภายในกรอบเพื่อให้เกิดความสำเร็จ รวมไปถึงจะวัดความสำเร็จนั้นอย่างไร

ข้อเสนอแนะ
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการดำรงอยู่ของมนุษย์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ยึดติดกับความคิดเดิม ๆ ไม่ถูกมองว่าเป็นตัวขัดขวางการเปลี่ยนแปลง และเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตขององค์กร รวมไปถึงประเทศชาติได้


บรรณานุกรม

จินตนาเกิน. (2008). Paradiam Shift เข้าใจอย่างไร. ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2551, จาก http://www.oknation.net/blog/natt1983/2008/08/19/entry-1
NovaAce. (2008). Paradiam กระบวนทัศน์. ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2551, จาก http:// www.novabizz.com/NovaAce/Paradigm.htm




Creating a Knowledge Management System

Creating a Knowledge Management System
Sheila Campbell. (2008). Creating a Knowledge Management System.
Retrieved July 20, 2008, from http://www.business-marketing.com/store/abknowledge.html


สรุปสาระสำคัญ
ในการสร้างระบบการจัดการความรู้ เราควรที่จะจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราเกิดคู่แข่งทางการค้าได้ โดยการที่เราจะต้องนำข้อมูลความรู้ต่างๆ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยบุคลากรภายในองค์กรที่เราคิดว่า สามารถที่จะทำให้เกิดความสำเร็จได้ ซึ่งการที่จะไปสู่เป้าหมายได้นั้น เราจะต้องมีความรู้ที่จะจัดการให้ข้อมูลต่างๆ กลายเป็นประสิทธิผล ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการอย่างมีระบบ โดยมีบุคลากรเป็นเครื่องมือที่จะช่วยดำเนินการต่าง ๆ อย่างมีทักษะ ความชำนาญ ความรู้ที่แฝงอยู่ในบุคคล ที่เราจะต้องดึงเอาทักษะ ขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ เหล่านั้นนำมาบันทึกเก็บไว้ ในทุก ๆ วัน ในกรณีศึกษาของบริษัท Carrera Consulting ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้แก่กัน ในเวลาที่พนักงานลาออกไป ความรู้ต่าง ๆ ได้รับการถ่ายทอด มีการต่อยอด ทำให้ไม่เสียเวลาในการที่จะต้องเริ่มต้นใหม่
กุญแจในการสร้างระบบการจัดการความรู้ ต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่เขา อยากที่มีส่วนร่วมในระบบนี้ และสามารถที่แชร์ความรู้ได้อย่างเต็มที่ ควรที่มอบรางวัลเพื่อให้เกิดกำลังใจ ซึ่งการเริ่มต้นที่ดีนั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงที่จะช่วยขับเคลื่อนให้สามารถดำเนินไปได้ และควรที่จะสนับสนุนให้ระบบการจัดการความรู้เป็นพันธกิจขององค์กร ท้ายสุดควรที่ถามตัวเองว่าเรามั่นใจในการลงทุนครั้งนี้หรือไม่ และพนักงานคนไหนที่เราคิดว่าเราลงทุนแล้วคุ้มค่ากับองค์กรของเราหรือไม่


วิเคราะห์ วิจารณ์
องค์กรในปัจจุบันเริ่มที่จะตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ท่ามกลางกระแสการต่อสู่ในโลกยุคใหม่ ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะพาองค์กรประสพความสำเร็จ รวมทั้งปัจจัยต่าง ๆที่องค์กรจะต้องพยายามทำให้เกิดการสนับสนุนความรู้ให้ไปสู่เป้าหมายได้ ดังที่ รัชต์วรรณ กาญจนปัญญาคม (ม.ป.ป.) ได้กล่าวไว้ว่า สิ่งแรกคือวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในองค์กร ที่ต้องการมีส่วนร่วม เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ และทำให้สมาชิกต่าง ๆในองค์กรเห็นประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารระดับสูงควรที่จะให้การสนับสนุน ส่งเสริม ให้พนักงานได้มีการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่หวงวิชา หรือกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์ ซึ่งต้องสร้างความเชื่อมั่น ไว้ใจ ทำให้พนักงานเต็มใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ สามารถแบ่งปันผลงาน ข้อคิด หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น สร้างความรู้ใหม่จากความรู้เดิมที่มีอยู่ ประมวลและกลั่นกรองความรู้ออกมาเป็นรูปแบบเอกสาร ให้สามารถเข้าใจได้ทุกคนในภาษาเดียวกันได้ การสร้างระบบการจัดการความรู้ ควรที่จะต้องมีความพร้อมของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนการทำงาน และการเรียนรู้ของคนในองค์กรได้ (สมชาย นำประเสริฐชัย, 2545) เนื่องจากความรู้ต่าง ๆที่บุคลากรได้ถ่ายทอดไว้นั้น จะต้องนำมาจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล สามารถรวบรวมความรู้ต่าง ๆ จัดเก็บไว้ สะดวกในการเข้าถึง และง่ายต่อการนำมาใช้ และความรู้ที่อยู่ในฐานความรู้จะต้องมีความถูกต้อง มีคุณภาพ และมีความพร้อมของข้อมูลที่เก็บไว้ ซึ่งต้องได้รับการร่วมมือจากพนักงานที่จะเพิ่มข้อมูลของตนเองลงไปในฐานข้อมูล เก็บไว้เป็นหมวดหมู่ สามารถนำมาใช้ เพิ่มเติม และวัดผลได้ เป็นการต่อยอดให้พนักงานท่านอื่นได้ค้นคว้าหาความรู้ได้มากยิ่งขึ้น และไม่หายไปกับตัวพนักงานที่ลาออกไป เพื่อเป็นการรวบรวมการทำงานของพนักงานในองค์กร เป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันความผิดพลาดในองค์กร สามารถช่วยหาสาเหตุ วิธีแก้ไข ขั้นตอนในการทำงาน การสร้างระบบการจัดการความรู้ ถือว่ามีประโยชน์กับองค์กรเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้บรรลุในเป้าหมาย ซึ่งต้องวางระบบให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ขององค์กร

ข้อเสนอแนะ
การสร้างระบบการจัดการความรู้ จะประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นที่เราจะต้องรู้ให้ได้ว่า เราจำเป็นจะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้างในองค์กร และความรู้อะไรที่ภายในองค์กร บุคลากรมีอยู่บ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร แนวทางอะไรที่เราจะสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาจัดเรียงให้อยู่ในระบบฐานข้อมูล และใครจะเป็นผู้ดูแลระบบข้อมูลเหล่านั้นด้วย


บรรณานุกรม

รัชต์วรรณ กาญจนปัญญาคม. (ม.ป.ป.). การจัดการองค์ความรู้(Knowledge Management, ค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2551, จาก http:// fulbrightthai.org /data/knowledge/Knowledge%20Management%20%20x.doc
สมชาย นำประเสริฐชัย. (2545). 5 นาทีกับการจัดการความรู้. ค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2551, จาก http://www.ku.ac.th/emagazine/february45/it/five.htm.

ทฤษฎีสู่การเรียนรู้

ทฤษฏีสู่การเรียนรู้
ไตรภพ จันทร์ศรี. (2551). ทฤษฏีสู่การเรียนรู้. ค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2551, จาก http:// www.triphopchansri.multiply.com/journal/item/6


สรุปสาระสำคัญ
ทฤษฎีสู่การเรียนรู้ คือ สิ่งที่ช่วยเป็นแนวทางช่วยให้เราเลือกใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนเทคนิค และวิชาต่างๆ วิธีการที่ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ มีด้วยกัน 3 ทฤษฎี อันดับแรก คือ พฤติกรรมนิยม (behaviorism) โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้คอยกำหนดและควบคุมสภาพแวดล้อมต่อผู้เรียน โดยเน้นไปที่พฤติกรรมการเสริมแรง มีวิธีการสอน ได้แก่ การสอนตรง ๆ หรือการแสดงให้ดู, การให้ทำแบบฝึกหัด ปฏิบัติ หรือกระทำซ้ำ ๆ และ การสอนเกมต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนก็จะได้ทักษะพื้นฐานเบื้องต้น แต่การเรียนรู้ในแนวพฤติกรรมนิยมนี้ ผู้เรียนไม่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหา หรือ การคิดสร้างสรรค์ได้ เพราะผู้เรียนจะทำตามที่ผู้สอนได้คอยกำหนดไว้ เพียงแต่ผู้เรียนสามารถที่จะระลึกได้ในข้อเท็จจริงพื้นฐานต่าง ๆ เท่านั้น และมีการตอบสนองอย่างอัตโนมัติ ทฤษฏีอันดับที่สอง คือ การประมวลผลสารสนเทศทางปัญญา (cognitive information processing, CIP) คือกระบวนการคิดก่อนแสดงพฤติกรรม โดยที่ผู้เรียนต้องสามารถจำแนกแยกแยะไตร่ตรอง และประมวลข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ให้ได้อย่างมีเหตุมีผล เช่น มีการจัดโต้เถียงอภิปรายโดยมีการให้เหตุผล, มีการแก้ปัญหาในโครงการที่ยุ่งยากลำบาก, การเปรียบเทียบคำ สำนวนต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งผู้เรียนจะต้องมีองค์ความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ อยู่บ้าง และทฤษฏีอันดับสุดท้าย ได้แก่ การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (constructivism) การเรียนรู้ในทฤษฏีนี้เป็นการแสดงให้เห็นฐานประสบการณ์ของแต่ละบุคคล และโครงสร้างองค์ความรู้ภายในแต่ละบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแก้ปัญญา และนำไปประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความจริงได้ เช่น การตั้งกรณีศึกษา (case studies) เพื่อแก้ปัญหา, การฝึกงาน, การเรียนรู้โดยการสืบค้น ฯลฯ
ทฤษฏีสู่การเรียนรู้ทั้ง 3 แบบนี้ มีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่ควรที่จะต้องพิจารณา ระดับองค์ความรู้ของผู้เรียน และระดับการประมวลผลทางสติปัญญา ซึ่งผู้สอนสามารถที่จะหมุนเวียนทฤษฏีการเรียนรู้ได้ ยกตัวอย่างเช่น บางวิชาที่ผู้เรียนยังไม่มีประสบการณ์อาจใช้รูปแบบพฤติกรรมนิยม พอมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นแล้ว การจัดการเรียนการสอนในการประมวลผลข้อมูล เพื่อแยกแยะ และสามารถพัฒนาเป็นการสร้างสรรค์ความรู้ทางปัญญา ซึ่งเมื่อมีความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมา ก็จะกลับไปที่รูปแบบพฤติกรรมนิยมเหมือนเดิม หมุนเวียนสลับกันไปแบบนี้อย่างต่อเนื่อง

วิเคราะห์ วิจารณ์
ทฤษฏีสู่การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ที่ผู้สอนได้คอยควบคุม ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะประมวลผลข้อมูล กับ สิ่งแวดล้อม ที่ได้เกิดจากการสั่งสอน, การแสดงให้ดู, การให้ฝึกปฏิบัติซ้ำ ๆ หรือ การเล่นเกมต่าง ๆทฤษฏีสู่การเรียนรู้จะช่วยให้เกิดการการสนองตอบโดยอัตโนมัติ ซึ่ง แก้วกล้า มีชัยโย (2551) ได้กล่าวไว้โดยมีแนวคิดจากทฤษฏีพฤติกรรมนิยม ซึ่งถือว่าสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และการเรียนรู้ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างวัตถุหรืออินทรีย์ ซึ่งเรียกว่า สิ่งเร้า (stimulus) เมื่อมากระตุ้นอินทรีย์ จะมีพฤติกรรมออกมาเรียกว่า การตอบสนอง (response) ซึ่งจะทำให้เกิดการสะท้อนกลับ (reflex) เป็นไปโดยอัตโนมัติ หรือการเรียนรู้อาจเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิด นอกจากนี้แรงเสริม (socialscience, 2551)ยังทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเป็นการกระทำต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่ว่าเป็นผลของอัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เกิดการสร้างลักษณะนิสัยใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่มาเพิ่มกำลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า กับ การตอบสนองเช่น รางวัล การตำหนิ การลงโทษ การชมเชย เงิน ของขวัญ หรือสิ่งล่อใจ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการสร้างแบบแผนของพฤติกรรมการเรียนรู้ในแต่ละบุคคล และทำให้เกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเกิดกระบวนการคิดก่อนพฤติกรรม เพราะได้มีประสบการณ์ และนำองค์ความรู้ที่ได้มีนำมาประยุกต์ สร้างสรรค์ แก้ปัญหาต่าง ๆในชีวิตจริงได้


ข้อเสนอแนะ
ทฤษฏีสู่การเรียนรู้ เป็นกระบวนการหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ การฝึกฝน เพื่อสนองความต้องการ การแก้ปัญหา ซึ่งการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จาก ความรู้ทางทักษะในการฝึกฝน ท่องจำ, ความรู้สึกที่ได้มาจากสิ่งเร้า สิ่งแวดล้อม ครูผู้สอน สื่ออุปกรณ์การสอน ครอบครัว และสังคม อีกทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอน แรงจูงใจ ซึ่งมีการตอบสนองจากผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้หลาย ๆ ครั้ง จนทำให้เกิดมีการพัฒนาเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมได้


บรรณานุกรม

แก้วกล้า มีชัยโย. (2551). ทฤษฏีการเรียนรู้. ค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2551, จาก http://www.tumcivil.com/engfanatic/board/gen.php?topic_id=1374&hit=1
socialscience. (2551). การเรียนรู้. ค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2551, จาก http://www.socialscience.igetweb.com/index.php?
mo=3&art=15154

ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้

ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้
ประพนธ์ ผาสุขยืด. (2544).ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้ . ค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2551, จาก http:// www. kmi.or.th/document /K _ wisdom.doc

สรุปสาระสำคัญ
ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ด้วยกัน และไม่สามารถแยกจากกันได้ ซึ่งปัญญาจะต้องมาจากศีล และสมาธิ ตามหลักไตรสิกขา กล่าวคือถ้าไม่มีสมาธิ ก็ไม่เกิดปัญญา และถ้าไม่มีศีลก็จะไม่มีสมาธิ แต่ ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน เพราะ ความรู้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสมอง เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้จากการที่เราอ่าน ตำรา หนังสือ ในขณะที่ปัญญานั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ ที่จะสามารถอ่านจิตใจ อ่านอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ และสิ่งที่สำคัญต้องสามารถอ่านความรู้สึกและทันต่ออารมณ์ของตนเองได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีความรู้สูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป
นอกจากนี้ยังมีคำที่เกี่ยวข้องอีกสองคำ คือคำว่า สารสนเทศ(information) และ ข้อมูล (data) และสามารถนำทั้งสองสิ่งมาสร้างเป็นความรู้ (knowledge) ได้ การเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา ซึ่งควรที่จะเข้าใจระดับในการเรียนรู้ต่าง ๆ กล่าวคือ ระดับแรก เป็นการรู้จำ ได้แก่การเรียนรู้ตามตำรา ตามตัวหนังสือ และมุ่งเน้นการท่องจำ ระดับที่สองจะเป็นการเรียนรู้จริง ในระดับนี้จะเน้นที่ความเข้าใจเป็นหลัก ต้องอาศัยข้อมูล การวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุและผล เกิดความแจ่มชัด และนำไปอิงการปฏิบัติได้ ซึ่งได้จากประสบการณ์จริง ๆ (learning by doing) การเรียนรู้จำ และการเรียนรู้จริง ทั้งสองอย่างทำให้เกิดการคิดเป็น ทำเป็น ระดับสุดท้ายคือ การเรียนรู้แจ้ง เกิดจากความเข้าใจ จากสามัญสำนึก และจิตวิญญาณ ของเรา และทำให้เกิดการ คิดถูก ทำถูก ด้วยเช่นกัน


วิเคราะห์ วิจารณ์
มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การศึกษา ชีวิตครอบครัว เป็นต้น สิ่งที่ทำให้เข้าไปถึงในจุดนั้นได้ ต้องเกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งในปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่มีอย่างมากมาย ทำให้เกิดแหล่งความรู้ต่าง ๆ และจำเป็นที่จะต้องใช้สติ ในการวิเคราะห์ เลือกรับข้อมูลที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางสร้างสรรค์ หรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม ได้ ทำให้เกิดปัญญาตามมาที่จะช่วยให้สามารถวิ่งทันโลก ปรับตัวทันเวลา และพัฒนาต่อยอดความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นได้ การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งเกิดจากความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งหัสชัย สิทธิรักษ์ (2550) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยอาศัยการคิด ทำความเข้าใจ จากข้อมูล (data) แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ แปรรูปไปเป็นข่าวสาร (information) และ นำไปประยุกต์ นำไปปฏิบัติให้เกิด ปัญญา (Wisdom) อันเป็นที่มาของความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมตามพุทธศาสนา คือ หลักไตรสิกขา กาญจนา นาคสกุล (2551) ไตร แปลว่า สาม สิกขา แปลว่า บทเรียน ไตรสิกขา แปลว่า บทเรียน 3 บท หมายถึง หลักปฏิบัติใหญ่ ๆ 3 ประการ คือ ศีล หมายถึง การควบคุมความประพฤติทางกายและวาจา สมาธิ หมายถึง การฝึกจิตให้เกิดความ นิ่ง สงบ เย็น และปัญญา หมายถึง การเกิดความรู้แจ้ง รู้ความจริงของโลก รู้ความจริงของชีวิต ซึ่งทั้ง 3 ข้อจะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน คล้ายกับ ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้

ข้อเสนอแนะ
ความรู้ ปัญญา และการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งถ้ารู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จากข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่รับอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่จะสามารถรับความเป็นไปของโลก ปรับตัวได้ทันเวลา มีปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกวิธี และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อบุคคลที่รัก และเพื่อสังคมได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการที่จะต้องเปิดใจที่จะรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ และกล้าจะเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ลบความเชื่อ ความรู้เก่า ๆ หรือนำมาปรับปรุงพัฒนาให้เกิดข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ใหม่ ๆ


บรรณานุกรม

หัสชัย สิทธิรักษ์. (2550). ความรู้ การเกิด พัฒนาการ และการเรียนรู้ . ค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2551, จาก http://www.nstlearning.com/~hussachai/?p=175
กาญจนา นาคสกุล. (2551). อริยสัจ ไตรสิกขา พุทธมามกะ เวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ . ค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2551, จาก http: //www. sakulthai.com/ DSakulcolumndetail.asp?stauthorid=19&stcolcatid=2 & stcolumnid=946&stissueid=2453

การจัดการความรู้ เพื่อเพิ่มมูลค่า

การจัดการความรู้ เพื่อเพิ่มมูลค่า
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์. (2551). การจัดการความรู้ เพื่อเพิ่มมูลค่า. ค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2551, จาก http:// www.Hrcenter.co.th/HR KnowView.asp?id = 242


สรุปสาระสำคัญ
ความรู้เป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุก ๆ คน ที่มีความพยายามที่จะเรียนรู้ และนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้แก่ตนเองได้ ซึ่งการจัดการความรู้ (knowledge management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เราพัฒนาและก้าวหน้าตามโลก และมีส่วนทำให้เพิ่มมูลค่าในตัวเราเองมากยิ่งขึ้น เพราะการเรียนรู้ก่อให้เกิดการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจ ความเชี่ยวชาญ สติ ปัญญา ฯลฯ โดยมีวิธีต่าง ๆ ในการแสวงหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟัง การถาม และการจดบันทึก ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะมีประโยชน์ถ้าเรานำมาปฏิบัติอยู่ถูกวิธี รู้ว่าเมื่อไหร่ควรนำมาใช้ และสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเพราะเรามีข้อมูลเก็บไว้อยู่ตลอดเวลา และควรที่จะประเมิน ติดตาม ความรู้อยู่เป็นประจำ เพราะโลกของเรามีข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่อยาก หากแต่เรามีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนา มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดกับที่ ซึ่งจะทำให้เรามีศักยภาพที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ วิจารณ์
มนุษย์ทุกคนต้องการความพัฒนา ก้าวหน้า ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้ทั้งสิ้น ซึ่งบุคคลที่ใฝ่รู้ย่อมมีโอกาสมากมาย เพราะมีสติปัญญา สามารถที่จะคิด วิเคราะห์ ใช้วิจารณญาณ ซึ่งขึ้นอยู่กับเรานำความรู้ต่าง ๆ ที่สะสมไว้นำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างไร การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่จะช่วยพัฒนาให้องค์กรสามารปรับตัวกับโลกปัจจุบันได้ เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้มีความรู้ต่าง ๆเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย บูรชัย ศิริมหาสาคร (2551) ซึ่งเราจำเป็นต้องเปิดใจรับข้อมูลข่าวสาร รวบรวมค้นหา แลกเปลี่ยนความรู้ และนำมาใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง องค์กร และสังคมได้ KMI (2551) สามารถนำความรู้ที่เป็นความรู้ที่แฝงในตัวของเรา จากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน (tacit knowledge) นำมารวบรวม เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร, ตำราหรือคู่มือที่จะช่วยเป็นแนวทางทำให้เกิดความรู้ที่เด่นชัด (explicit knowledge) และนำมาเข้าสู่กระบวนการจัดการความรู้ (knowledge management) ที่จะช่วยต่อยอดความรู้ไม่ให้สูญหายไป ในกรณีที่พนักงานได้ลาออกไป ง่ายต่อคนที่จะมาเริ่มงานใหม่ เพราะมีข้อมูลให้ค้นหา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้แลกเปลี่ยนความรู้ที่มีระหว่างกันได้

ข้อเสนอแนะ
การจัดการความรู้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการสะสมความรู้อย่างยาวนาน จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สามารถค้นพบตัวเองว่า แท้จริงแล้วมีใจรักในสิ่งใด ถนัดอะไร และนำความรู้ ความถนัดที่มีนำมาพัฒนาให้เกิดศักยภาพ อีกทั้งยังสามารถที่จะเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเสริมในสิ่งที่ขาดไป ทำให้จุดอ่อนกลายเป็นจุดแข็ง ได้ท่องโลกกว้างทางปัญญา ทำให้ชีวิตสดใส ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ค้นพบสิ่งที่ไม่คุ้นเคย สมองได้รับการกระตุ้นสร้างให้ได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต และเป็นหนทางในการสร้างความสุขในการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก หากแต่ต้องรู้จักไขว่คว้าความรู้ให้ได้


บรรณานุกรม

บูรชัย ศิริมหาสาคร. (2551). การจัดการความรู้สู่องค์กรอัจฉริยะ. ค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2551, จาก
http://www.dol.go.th/KM/articles/articles.html
KMI. (2551). การจัดการความรู้. ค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2551, จาก http://www.person.ku.ac.th/training/kukm/doc/WedJuly2005-9-16-35-Introduce_KM.pdf